svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

พาณิชย์ตั้งเป้าส่งออก 'อาหารสัตว์เลี้ยง' เบอร์หนึ่งของโลก

11 ตุลาคม 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

กระทรวงพาณิชย์ ชู 7 จุดแข็งอาหารสัตว์เลี้ยงไทย แนะขับเคลื่อน 4 ยุทธศาสตร์ เร่งขยายการส่งออกเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในจีน ตั้งเป้าเป็นผู้ส่งออกเบอร์หนึ่งโลก

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เปิดเผยว่า จากผลการศึกษาของ สนค. พบว่า ไทยมีโอกาสจะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงโลก โดยอาหารสัตว์เลี้ยงมีมูลค่าตลาดและเติบโตดีต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2562 การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงโลกมีมูลค่า 11,511 ล้านดอลลาร์ สรอ. และในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตถึงร้อยละ 71.0 ขณะที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 4 ของโลก โดยมีมูลค่าการส่งออก 1,385.1 ล้านดอลลาร์ สรอ. และมีสัดส่วนร้อยละ 9.2 ของการส่งออกโลก


"ชู 7 จุดแข็งการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงไทย" ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ทั้งด้านอุปทานและอุปสงค์ พบว่ามีจุดแข็งทั้ง 2 ด้าน กล่าวคือ ด้านอุปทาน (Supply) (1) ไทยมีต้นทุนทางการผลิตที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งที่สำคัญ โดยเฉพาะต้นทุนด้านแรงงาน ซึ่งผู้ส่งออกที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าไทย ล้วนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ประเทศเยอรมันนี สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส เป็นต้น (2) ไทยมีความเชี่ยวชาญในการผลิต เนื่องจากการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงบางส่วนขยายกิจการ/เพิ่มสายการผลิตมาจากการผลิตปลาทูน่ากระป๋อง ทำให้ผู้ผลิตสามารถต่อยอดความเชี่ยวชาญทั้งด้านการผลิตและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะแรงงานที่ไม่ต้องปรับทักษะการผลิตเพิ่มเติมมากนัก นอกจากนี้ การเพิ่มสายการผลิตยังทำให้เกิดการประหยัดอีกด้วย (Economies of Scope)  ด้านอุปสงค์ (Demand) (3) ประเทศผู้นำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงของโลกส่วนมากเป็นประเทศที่มีกำลังซื้อสูง หรือรายได้ต่อหัวสูง รวมทั้งมีมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์สูง ทำให้เต็มใจจ่ายในสินค้าที่ราคาและคุณภาพพรีเมียม (4) ไทยได้ประโยชน์จากการเติบโตการนำเข้าของประเทศสำคัญ พบว่า การนำเข้าของสหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ และเยอรมนี มีการเติบโตได้สูงกว่าประเทศอื่น ๆ และส่วนแบ่งตลาดของไทยยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย สะท้อนถึงความสามารถทางการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยที่อยู่ในเกณฑ์ดี จนสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง  (5) ด้านภูมิศาสตร์ 

"ใกล้ไกลไทยไม่เสียเปรียบ" ในตลาดคู่ค้าสำคัญ โดยจากการศึกษาบ่งชี้ว่า ตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดที่ระยะทางของคู่ค้าไม่ส่งผลต่อการนำเข้า ทำให้ไทยไม่เสียเปรียบประเทศที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ใกล้กว่าไทย ในทางตรงกันข้าม ตลาดจีนและญี่ปุ่น เป็นตลาดที่ระยะทางของคู่ค้ามีผลต่อการนำเข้า ยิ่งระยะทางใกล้จะมีความได้เปรียบทางการค้าสูง ซึ่งจุดนี้ทำให้ไทยมีความได้เปรียบทางการแข่งขันจากคู่แข่งอื่นๆ (6) ไทยทำให้เกิดการผูกขาดในตลาดสำคัญและป้องกันการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งอื่นๆ โดยใน ตลาดสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ไทยมีส่วนแบ่งตลาดสูง  รวมทั้งลักษณะตลาดเริ่มเข้าสู่การแข่งขันน้อยรายทำให้ประเทศคู่แข่งไทยเจาะตลาดได้ยาก (7) ประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญของไทยยังคงนำเข้าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น อย่างที่ทราบกันดีว่า สินค้าส่งออกที่สำคัญส่วนมากจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เป็นข้อยกเว้นสำหรับการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง ทำให้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการส่งออกไทยในระยะนี้ด้วย

"ตั้งเป้าไทยเป็นผู้ส่งออกเบอร์หนึ่งขอโลก ด้วยการขับเคลื่อน 4 ยุทธศาสตร์" นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวเพิ่มเติมว่า จากที่ไทยมีจุดแข็งหลากหลายด้าน ประกอบกับตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกยังมีโอกาสเติบโตอย่างสดใส หากไทยมีการพัฒนาและปรับปรุงข้อจำกัดบางอย่างจะทำให้ไทยสามารถเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกได้ โดยการขับเคลื่อน 4 ยุทธศาตร์ คือ (1) "สินค้าเก่ารุกตลาดดาวรุ่ง" โดยเร่งขยายการส่งออกไปจีน และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดจีน ซึ่งในปัจจุบันไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 2 ของจีนมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 19.0 ขณะที่แคนาดาเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 1 มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 45.0 แต่อย่างไรก็ตาม ไทยมีความได้เปรียบแคนาดาในหลายด้าน ทั้งภูมิศาสตร์และความสามารถทางการแข่งขัน  

(2) "เพิ่มสินค้าพรีเมียม เน้นวัตถุดิบภายในประเทศ" โดยตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม เพื่อจะเพิ่มมูลค่าสินค้าส่งออก และเปลี่ยนการส่งออกที่เน้นแข่งขันด้วยราคา โดยให้ความสำคัญกับคุณค่าทางอาหารที่สูงขึ้น สร้างความแตกต่างจากอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเดิม โดยเร่งศึกษา/วิจัย/และพัฒนาวัตถุดิบที่มีคุณสมบัติแตกต่างและดีกว่าวัตถุดิบเดิม โดยให้ความสำคัญกับการใช้วัตถุดิบภายในประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ ยังขยายการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง เช่น เสื้อผ้า ของเล่น อาหารว่าง และเตียง เป็นต้น

(3) "สร้างความเข้มแข็งภาคบริการจากภายใน เพื่อต่อยอดสู่การส่งออกบริการ" เน้นการสร้างความเข้มแข็งด้านความเชี่ยวชาญการดูแลสัตว์อย่างครบวงจรภายในประเทศ เพื่อยกระดับสู่ผู้ให้คำปรึกษาหรือขยายธุรกิจการดูแลสัตว์เลี้ยงไปยังประเทศที่มีกำลังซื้อสูงอย่างจีน (4) "ส่งเสริม digital content เรื่องสัตว์เลี้ยง" การเติบโตของตลาด digital content ทำให้มีความต้องการเนื้อหาของสื่อเพื่อความบันเทิงในหลายด้าน รวมทั้ง เนื้อหาที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงก็เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมสูง นอกจากนี้ การเพิ่มมิติสินค้า/บริการด้านนี้จะเป็นหนึ่งในช่องทางการสร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตเนื้อหารายย่อยได้และให้กับประเทศอีกด้วย รวมทั้งจะช่วยชดเชยรายได้จากการส่งออกที่อาจจะลดลงในบางประเทศ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร โดยเฉพาะประเทศที่มีจำนวนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น จะมีการเลี้ยงสัตว์และการใช้จ่ายเพื่ออาหารสัตว์เลี้ยงน้อยลง เช่น ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น 

ทั้งนี้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย 8 เดือนแรก แม้ว่าทุกประเทศจะมีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงยังสามารถขยายตัวสูงถึงร้อยละ 17.3 มีมูลค่า 1,303.6 ล้านดอลลาร์ สรอ. และขยายตัวต่อเนื่อง 12 ติดต่อกัน โดยการส่งออกไปประเทศสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ซึ่งเป็นแหล่งส่งออกอันดับที่ 1 ของไทย (มีสัดส่วนร้อยละ 23.9) ในเดือน ส.ค. 2563 ขยายตัวร้อยละ 37.1 และ 8 เดือนแรกของปี 2563 ขยายตัวร้อยละ 34.7 ขณะที่ ญี่ปุ่นแหล่งส่งออกอันดับที่ 2 ของไทย (ร้อยละ 16.2) ในเดือน ส.ค. 2563 ขยายตัวร้อยละ 4.6 และ 8 เดือนแรกของปี 2563 ขยายตัวร้อยละ 8.2

logoline