- 24 เม.ย. 2563
- 518
จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ไทยมีมาตรการสำคัญเพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยประกาศใช้ข้อกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งด้านการห้ามเข้าพื้นที่เสี่ยง การปิดสถานที่เสี่ยงต่อการติดต่อโรค การทำความสะอาดผิวสัมผัสของสถานที่ต่างๆ การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ เว้นระยะห่าง ควบคุมจำนวนผู้ร่วมกิจกรรมไม่ให้แออัด หรือควบคุมการออกนอกเคหะสถานในเวลาที่กำหนด เป็นต้น ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของประชาชนต่อการปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ดังกล่าว
ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ผู้จัดการงานวิจัยอาวุโส สวรส. กล่าวว่า งานวิจัยดังกล่าว เป็นหนึ่งในงานวิจัยเชิงระบบของสวรส. ที่เร่งดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์การระบาดโควิด-19 เพื่อนำข้อมูลสนับสนุนให้หน่วยงานหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนามาตรการหรือปรับการดำเนินงานโดยนำข้อมูลสะท้อนกลับให้แก่ผู้กำหนดนโยบายเพื่อการแก้ปัญหาในสถานการณ์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นตลอดจนการออกแบบแนวคิดเพื่อพัฒนาการสื่อสารมาตรการต่างๆ ให้เหมาะสมกับสังคมไทยต่อไป
งานวิจัยสำรวจข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายทั้ง4 กลุ่ม โดยศึกษาพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันและการทำกิจกรรมร่วมกัน พบว่าคนไทยทั่วประเทศติดตามรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และมาตรการป้องกันจากหน่วยงานสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด มีทัศนคติต่อข้อมูลเหล่านั้นดีและยินดีปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐ โดยเฉพาะคนในเขตเมือง ไม่มีกิจกรรมร่วมกันหรือไม่สังสรรค์ร่วมกันสูงถึง 94% ไม่สัมผัสผู้ป่วยที่มีอาการหวัด 96% ไม่เข้าไปยังพื้นที่แออัด 75% ล้างมือก่อนกินข้าวทุกครั้ง85% เป็นต้น
ส่วนการใช้มือจับหน้าและการทำ socialdistancing ยังไม่ดีนักในกลุ่มคนจนเมืองเนื่องจากเป็นกลุ่มที่หลีกเลี่ยงการใช้ชีวิตในพื้นที่แออัดไม่ได้ เช่น ในชุมชนตลาดสด และการใช้รถสาธารณะ พบข้อมูลยังสูงอยู่ โดยยังไปในพื้นที่แออัด 1 ครั้งคิดเป็น 35% มากกว่า 1ครั้ง 22% และสัดส่วนของจำนวนคนต่อการใช้พื้นที่ของกลุ่มคนจนเมืองมีค่อนข้างหนาแน่นซึ่งมักอยู่รวมกันในห้องเดียวหลายคนด้วยเพราะสภาพทางเศรษฐกิจ รวมถึงคนชายแดนใต้ยังต้องมีกิจกรรมทางศาสนาและคนชนบทยังไปมาหาสู่กันอยู่ดังนั้นการเว้นระยะห่างระหว่างกันจึงได้รับความร่วมมือน้อยกว่าคนในเขตเมือง
ส่วนการเปรียบเทียบผลการสำรวจบางประเด็นใน2 ช่วงเวลา คือ ช่วงเพิ่งล็อคดาวน์กับหลังจากล็อคดาวน์แล้ว 2 สัปดาห์ จากการตอบคำถามโดยคนเดิมพบว่า คนติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดและลงในรายละเอียดน้อยกว่าช่วงที่มีการล็อคดาวน์ใหม่ๆและมีความตั้งใจปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ลดลงมากและคนส่วนใหญ่คิดว่าตนเองมีโอกาสติดเชื้อโควิด-19ลดลงอย่างชัดเจน โดยจากเดิมประมาณ 60%คิดว่าตนเองมีโอกาสติดค่อนข้างน้อยหรือน้อย เพิ่มเป็นเกือบ 80% ซึ่งอาจส่งผลให้การปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขลดลงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้คนส่วนใหญ่เคร่งครัดต่อการปฏิบัติตามมาตรการลดลงโดยเฉพาะมาตรการ social distancing ดังจะเห็นได้จากข้อมูลการออกไปทำกิจกรรม/สังสรรค์ ช่วงเพิ่งล็อคดาวน์ 5.0% หลังจากล็อคดาวน์ 8.5%แต่การปฏิบัติตัวตามมาตรการของแต่ละสถานที่กำหนด เช่นร้านสะดวกซื้อ ตลาด กลับพบว่าดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งนี้ หากมีการล็อคดาวน์ต่อความตั้งใจในการปฏิบัติตามอาจไม่กลับสู่ค่าเดิมในช่วงแรกของการล็อคดาวน์ได้อีกเนื่องจากความล้าทางพฤติกรรมและความกดดันทางเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงควรสื่อสารให้ชัดเจนว่าต้องปฏิบัติต่อไปแม้จะรู้สึกว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วและยังมีคนอื่นในสังคมที่ให้ความร่วมมืออย่างเคร่งครัดอีกเป็นจำนวนมาก หรือหากจะยกเลิกการล็อคดาวน์ควรใช้มาตรการขอความร่วมมือให้สถานประกอบการหรือพื้นที่ต่างๆออกกฎบังคับหรือมีบทลงโทษกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎของสถานที่เนื่องจากพบว่าคนส่วนใหญ่ปฏิบัติตามกฎของสถานที่เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ข้อมูลงานวิจัยดังกล่าวได้ถูกนำเสนอเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาจัดทำร่างข้อเสนอแนวทางการผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) หรือ ศบค. ของประเทศต่อไป