svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ และ ความงาม

แนะดูแลตัวเองป้องกัน "ไวรัสตับอักเสบบี" ต้นเหตุมะเร็งตับ

28 สิงหาคม 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

กรมการแพทย์ แนะประชาชนดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ที่เป็นต้นเหตุของมะเร็งตับ ชี้ควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ .

นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ กล่าวว่า จากข้อมูลกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข ปี 2561 รายงานว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งจำนวน 80,665 คน โรคมะเร็งตับ ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 จากปัญหาโรคมะเร็งที่มีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของประเทศ โดยมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งตับจำนวน 15,912 คน นับเป็นโรคที่พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) และมีการถ่ายทอดแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติลงสู่การปฏิบัติระดับพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง ดังนั้นการดูแลตนเองของประชาชนในเรื่องการป้องกันการเกิดไวรัสตับอักเสบบี การตรวจเช็คสุขภาพ การได้รับวัคซีนป้องกัน และผู้ติดเชื้อสามารถเข้าถึงการรักษาในระบบสาธารณสุข เป็นปัจจัยสำคัญที่ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับได้

แนะดูแลตัวเองป้องกัน "ไวรัสตับอักเสบบี" ต้นเหตุมะเร็งตับ

.

นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไวรัสตับอักเสบบี สามารถทำให้เกิดการอักเสบของตับแบบเฉียบพลันหรือแบบเรื้อรังได้ ในปัจจุบันไวรัสตับอักเสบบีเป็นสาเหตุของโรคตับแข็ง และมะเร็งตับที่สำคัญของโลก โดยข้อมูลในประเทศไทยพบว่ามะเร็งตับมากกว่าครึ่งเกี่ยวข้องกับไวรัสตับอักเสบบี โดยไวรัสชนิดนี้มีลักษณะเฉพาะ คือจะส่งสารพันธุกรรมเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์ตับทำให้ไวรัสยังอยู่ในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อตลอดชีวิต แม้จะตรวจไม่พบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในเลือดก็ตาม

ยาที่ใช้ในการรักษาไวรัสตับอักเสบบี คือ ยาต้านไวรัสแบบรับประทาน โดยมักต้องทานยาเป็นระยะเวลานานหรือตลอดชีวิตเพื่อควบคุมโรค ซึ่งยาต้านไวรัสในปัจจุบันมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง ข้อมูลทางการวิจัยพบว่าตัวยาสามารถลดปริมาณไวรัส ยับยั้งตับอักเสบ ทำให้พังผืดในตับลดลง อาการตับแข็งดีขึ้น ตลอดจนลดโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ อย่างไรก็ตามการตัดสินใจเริ่มการรักษาไวรัสตับอักเสบบีขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคล ได้แก่ ปริมาณไวรัสในเลือด หลักฐานการอักเสบ และพังผืดในตับ


ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่อายุมากกว่า 40-50 ปี หรือมีประวัติมะเร็งตับในครอบครัว ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งตับโดยการอัลตราซาวด์ทุก 6-12 เดือน สำหรับประชาชนทั่วไปสามารถป้องกันความเสี่ยงได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการเจาะ การสักผิวหนัง การใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น การสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย และฉีดวัคซีนป้องกัน ผู้ที่มีคนใกล้ชิดในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือความเสี่ยงดังกล่าว ควรได้รับการตรวจเลือดหา HBsAg ว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ และตรวจ Anti-HBs เพื่อหาภูมิต้านทาน เนื่องจากผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบระยะแรกจะไม่แสดงอาการใดๆ จึงควรได้รับการติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรังควรได้รับการรักษาและเข้าถึงระบบบริการสุขภาพตามมาตรฐาน เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งตับ

แนะดูแลตัวเองป้องกัน "ไวรัสตับอักเสบบี" ต้นเหตุมะเร็งตับ

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องหมอแนะวิธีเลือกรับประทานอาหารของผู้ป่วยโรคตับแพทย์แนะผู้ป่วย "โรคหอบหืด" ภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรละเลยเข้าฤดูฝน ระวัง "โรคฉี่หนู"แพทย์แนะ "โรคเกาต์" รักษาได้ ด้วยวิธีง่ายๆ โดยไม่ต้องพึ่งยา.

logoline