เรื่องของความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด ซึ่งหนึ่งในอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจเกิดบนใบหน้า ด้วยอาการปากเบี้ยวหรือใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก เรียกว่า “Bell’s palsy” เป็นโรคซึ่งเกิดจากการบวมอักเสบของเส้นประสาทสมองเส้นที่ 7 (Cranial nerve) ที่ควบคุมการทำงานของใบหน้า
สำหรับ Bell’s palsy หรือโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก เกิดขึ้นกับใครก็ได้ พบได้บ่อยในคนทุกวัยทุกเพศ ทุกอาชีพ และทุกเชื้อชาติ โอกาสในการเกิดโรคนี้อยู่ที่ราว 1 ใน 500 คน โดยทั่วไปอาการของโรคจะหายไปภายในระยะเวลา 1-2 เดือน แต่ประมาณ 10% ของผู้ที่เคยเป็นโรค Bell’s palsy มีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำอีก และอาจเกิดขึ้นที่ด้านตรงข้ามของใบหน้า หรือด้านเดิมก็ได้ ซึ่งแม้ว่าโรคนี้ไม่ร้ายแรงแต่กระทบกับการใช้ชีวิต การดื่มน้ำ กินอาหาร และหากได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างรวดเร็วและทันเวลาจะหายได้เกือบ 100% ภายใน 4-8 สัปดาห์
ล่าสุด (26 ม.ค. 2567) กรมการแพทย์ โดยสถาบันประสาทวิทยา เตือนอาการอ่อนแรง บริเวณใบหน้าครึ่งซีก ใบหน้าเบี้ยว หลับตาไม่สนิท ปากเบี้ยว มีน้ำไหลมุมปาก การรับรสผิดปกติ หูอื้อข้างเดียว เกิดจากความผิดปกติของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7
นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า อาการปากเบี้ยวหรือหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s palsy ) คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งทำงานผิดปกติ โดยมีสาเหตุมาจากการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งในภาวะปกติ เส้นประสาทนี้จะทำหน้าที่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าเพื่อแสดงอารมณ์ การหลับตาลืมตา การอ้าปากหรือปิดปากเวลาอมน้ำบ้วนปากแปรงฟัน
นอกจากนี้ เส้นประสาทเส้นดังกล่าวยังไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ยึกกระดูกหูชั้นใน ทำหน้าที่รับรสด้วย เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้น จะทำให้ความสามารถปกติเหล่านี้สูญเสียไป ผู้ป่วยจะหลับตาไม่สนิท ขยับมุมปากไม่ได้ ทำให้การออกเสียงพยัญชนะที่ต้องใช้ริมฝีปากผิดปกติ
โดยมากผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดศีรษะบริเวณขมับหรือใบหูข้างที่เกิดอาการนำมาก่อนไม่กี่วัน หลังจากนั้นจะเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติเกิดขึ้นทีละน้อย และเห็นชัดเจนภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งสาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด บางส่วนพบว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสอีสุกอีไส เชื้อเริมที่เส้นประสาท บางส่วนเกิดการอักเสบตามหลังการติดเชื้อไวรัสที่คอหรือทางเดินหายใจส่วนบน โดยมักจะพบมากใน ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา เผยว่า โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยเส้นประสาทจะสามารถฟื้นตัวเต็มที่ภายใน 3 เดือน แพทย์ผู้ตรวจรักษาจะวินิจฉัยจากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย เพื่อให้การวินิจฉัย แต่เนื่องจากอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก อาจเป็นอาการแสดงของโรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke ได้ หากอาการก้ำกึ่ง หรือมีความจำเป็นต้องแยก อาจจำเป็นต้องตรวจพิเศษเพิ่มเติม
เช่น การทำงานของประสาท (EMG) ส่วนของการรักษาโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หากตรวจพบอาการแสดงของไวรัสอีสุกอีใส หรือเชื้อเริม จะให้ยารักษาไวรัส แต่หากไม่พบสาเหตุของการอักเสบ แต่ผู้ป่วยมารับการตรวจรักษาเร็ว อาจจะพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการอักเสบ ซึ่งจะช่วยให้ระยะเวลาในการฟื้นตัวสั้นลง
แต่ทั้งนี้ ผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูเส้นประสาทร่วมด้วย เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาฟื้นตัวแล้ว แต่การฟื้นตัวไม่มาก ปัจจุบันสามารถผ่าตัดย้ายเส้นประสาทได้ นอกเหนือจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อใบหน้าแล้ว อาการหลับตาไม่สนิท เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการตาแห้ง เคืองตา หรือตาอักเสบได้ ดังนั้นผู้ป่วยจะได้รับน้ำตาเทียมเพื่อหล่อเลี้ยงดวงตา และขี้ผึ้งป้ายตาเวลานอน เพื่อป้องกันตาแห้งและตาอักเสบด้วย ในช่วงกลางวัน
ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ควรปิดตาข้างที่มีอาการ หรือใส่แว่นกันแดดเพื่อลดอาการเคืองตา หากมีอาการหน้าเบี้ยว จึงควรรีบไปโรงพยาบาลให้เร็ว เพื่อตรวจวินิจฉัยแยกจากภาวะโรคหลอดเลือดสมอง แม้ท้ายที่สุดจะตรวจพบว่าเป็นโรค Bell’s Palsy ก็จะได้รับการรักษาเร็ว ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทฟื้นตัวได้ดีและเร็วขึ้นด้วย
วิธีการรักษา มีตั้งแต่การรักษาด้วยการใช้ยาแก้อักเสบกลุ่มสเตียรอยด์ การให้ยาฆ่าเชื้อไวรัส การกายภาพบำบัด โดยการฝึกหรือกระตุ้นให้กล้ามเนื้อใบหน้าที่อ่อนแรงได้ทำงาน เพื่อรอการฟื้นตัวของเส้นประสาท โดยการกายภาพบำบัดสามารถทำได้ดังนี้