“เมาแล้วขับ” นับเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ในช่วงเทศกาล เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ หรือวันเฉลิมฉลองอื่นๆ มักมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงเวลาปกติ เพราะในการสังสรรค์หรืองานรื่นเริงมักมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ผู้ขับขี่ขาดสติ
ส่วนที่หลายคนสงสัยว่าแบบไหนเรียก “เมา” ในความเป็นจริงและในสายตากฎหมาย ต้องเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดหรือไม่ และในกรณีที่ “เมาแล้วขับ” ประกันจะจ่ายไหม มีค่าปรับเท่าไหร่ ครั้งนี้มีคำตอบมาให้
สำหรับวิธีสังเกตผู้ที่มีภาวะเมาสุรา อาจจะมีลักษณะอาการที่แสดงออกทางร่างกาย และพฤติกรรมกรรมหลายด้าน ซึ่งผู้ใกล้ชิดอาจจะสังเกตและประเมินได้เบื้องต้น ดังนี้
1. ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 30 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือดื่มเหล้า 4 แก้ว แก้วละ 1 ฝา > จะมีอาการครึกครื้น สนุกสนานร่าเริง
2. ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือดื่มเหล้า 6 แก้ว แก้วละ 1 ฝา > จะมีทำให้การควบควบคุมการเคลื่อนไหวเสียไป ไม่สามารถควบคุมได้ดีเท่าภาวะปกติ
3. ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือดื่มเหล้า 12 แก้ว แก้วละ 2 ฝา > จะมีอาการเดินไม่ตรงทาง
4. ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือดื่มเหล้า 24 แก้ว แก้วละ 2 ฝา > จะเกิดอาการสับสน
5. ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 300 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ > จะมีอาการง่วง งง และซึม
6. ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ > จะเกิดอาการสลบ และอาจถึงตายได้
ทั้งนี้ โดยปกติเบียร์ 1 แก้ว จะมีขนาด 285 มิลลิลิตร และมีดีกรีแอลกอฮอล์ 5% ซึ่งหากดื่มเบียร์ 3 แก้ว ร่างกายจะยังไม่สูญเสียการทำงาน ยังมีความรู้สึกผ่อนคลาย สนุกสนาน แต่ถ้าดื่มในระดับเพิ่มขึ้นถึงแก้วที่ 9 ร่างกายจะตอบสนองช้าลง เริ่มส่งผลเสียต่อการควบคุมตัวเอง
หากฝืนดื่มต่อไปถึง 13 แก้ว จะเกิดอาการง่วงซึม อาจเกิดอาการเมา อ่อนเพลีย อาเจียนได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายได้รับเบียร์ถึง 17 แก้ว จะส่งผลให้เกิดการเสียสมดุลของฮอร์โมน เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาท ทำให้เสียการควบคุม การมองเห็น ได้ยินไม่ชัด ร่างกายจะตอบสนองช้าลง ตัดสินใจช้าลง
การประเมินตัวเองเบื้องต้นจากอากการทางร่างกาย
ทางการแพทย์ “เมา” หรือ “ไม่เมา” จะวัดกันที่ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ซึ่งวัดได้หลายรูปแบบ อาทิ การเป่า หรือการตรวจเลือดเพื่อหาระดับแอลกอฮอล์ ปกติแล้วในเลือดของเราแอลกอฮอล์จะเป็น 0 เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ในร่างกาย แต่เมื่อเราเริ่มดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ระดับแอลกอฮอล์จะขึ้นเรื่อยๆ
ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 21 พ.ศ. 2550 ออกความใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ระบุว่า ระบุว่า ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถือว่าเมาสุรา
ยกเว้นผู้ขับขี่ใน 4 กรณีต่อไปนี้ ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถือว่าเมาสุรา คือ
ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่บุคคลที่มีใบขับขี่ตลอดชีพหรือใบขับขี่ 5 ปี และมีอายุเกิน 20 ปี ถือว่าเมาแล้วขับ
หากเป่าแอลกอฮอล์แล้วพบว่า ปริมาณเกินกำหนดทั้ง 2 กรณี จะถือว่าเมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี
ในกรณีที่ไม่เป่าแอลกอฮอล์ในทางกฎหมายจะถือว่าเมาแล้วขับ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
สำหรับโทษของการเมาแล้วขับ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเป่าแอลกอฮอล์แล้วเกินกำหนดหรือเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี กำหนดให้ผู้ขับขี่ที่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ดังนี้
- เมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนด ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
- ผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ กระทำผิดครั้งแรกจะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก เพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000 – 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี/1 มาตรา 160ตรี/2 และมาตรา 160 ตรี/3
(ข้อมูลจากพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 มาตรา 160 มาตรา 160 ตรีกฎกระทรวง ฉบับที่ 21 (พ.ศ. 2560) ข้อ 3 (1))
“เมาแล้วขับ” จนเกิดอุบัติเหตุ เคลมประกันรถยนต์ได้หรือไม่?
เรื่องนี้ต้องแบ่งคำตอบออกเป็น 2 ข้อ เพราะประกันรถยนต์มีทั้ง พ.ร.บ.รถยนต์ และ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประกันชั้น 1, ประกันชั้น 2+ และประกันชั้น 3+) แต่ละประเภทมีเงื่อนไขในการคุ้มครองที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าถามว่าเมาแล้วขับ ประกันรถยนต์จ่ายไหม ขอเคลมประกันรถยนต์ได้หรือเปล่า ซึ่งแจกแจงได้ดังนี้
เมาแล้วขับ "พ.ร.บ.รถยนต์" คุ้มครองไหม จ่ายค่าเสียหายให้หรือเปล่า
ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไร หน้าที่ของ พ.ร.บ.รถยนต์ คือคุ้มครองผู้เอาประกันรถยนต์และคู่กรณี โดยไม่พิสูจน์ความถูกหรือผิด ซึ่งจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ค่าเสียที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของผู้เอาประกัน พ.ร.บ.รถยนต์ จะไม่คุ้มครอง
เมาแล้วขับ "ประกันรถยนต์" จ่ายไหม คุ้มครองใครบ้าง?
ถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์จะคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและฝ่ายเสียหาย ถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองผู้เอาประกัน แม้จะซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่มีเบี้ยสูงสุดก็ตาม แต่คุ้มครองฝ่ายเสียหายตามเงื่อนไขของประกันรถยนต์ที่ซื้อไว้ ซึ่งบริษัทประกันจะไล่ค่าเสียหายทั้งหมดจากผู้ประกันเพื่อนำไปชดใช้ให้ผู้เสียหายในลำดับถัดไปอีกด้วย
...สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนขับรถกลับบ้านปลอดภัย “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” เที่ยวปีใหม่อย่างสนุกและมีความสุข