กรมควบคุมมลพิษ รายงานค่าฝุ่นละออง PM2.5 วันนี้ (11 ธ.ค.2566) ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล พบเกินมาตรฐาน 74 พื้นที่ หนักสุด ต.ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ 75.7 มคก./ลบ.ม. มีผลกระทบต่อสุขภาพ ขณะที่ริมถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 เขตหนองแขม กรุงเทพฯ 72.3 มคก./ลบ.ม.
โดยปริมาณฝุ่นละอองเฉลี่ยวัดได้ 31.5 - 75.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินมาตรฐาน (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) อยู่ในระดับสีส้มและสีแดง ตั้งแต่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพจนถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพทุกคน
เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 เป็นสารพิษในชั้นบรรยากาศที่มีขนาดเล็กมาก เมื่อร่างกายได้รับลงลึกไปถึงหลอดลม ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณหลอดลมและถุงลม ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะ "ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้" ที่อาจมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
เพราะเหตุใดฝุ่น PM 2.5 จึงสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้
ข้อมูลโดย นายแพทย์จิรวัฒน์ เชี่ยวเฉลิมศรี อายุรศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก โรงพยาบากรุงเทพ เผยว่า ฝุ่น PM 2.5 มีความสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้อย่างมาก เนื่องจากกลไกการอักเสบที่ลงลึกไปที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบนและระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ส่งผลต่อ "ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ" และ "ภูมิแพ้ผิวหนัง"
เมื่อสูดเข้าไปจะเกิดการอักเสบที่ทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ภูมิแพ้โพรงจมูก จาม น้ำมูก คัดจมูก ลามไปถึงโพรงไซนัสอักเสบ
ส่วนการอักเสบทางเดินหายใจส่วนล่าง คือ บริเวณหลอดลมกับถุงลม ส่งผลให้มีอาการไอ แน่นหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย หายใจติดขัด รวมถึงหายใจมีเสียงหวีด
นอกจากนี้ ยังผลต่อระบบผิวหนัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคภูมิแพ้ผิวหนังอยู่เดิม จะทำให้เกิดอาการกำเริบ มีผื่นแดงขึ้นตามตัวมากขึ้น
ฝุ่น PM 2.5 นอกจากสัมพันธ์กับภูมิแพ้ยังกระทบกับผู้ป่วยโรคหอบหืด ที่น่าสนใจคือมีข้อมูลระบุว่า เมื่อร่างกายได้รับฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้น จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้เดิมได้ไวขึ้น และเกิดการแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ชนิดใหม่เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งทำให้โรคภูมิแพ้โพรงจมูก โรคหอบหืดกำเริบรุนแรงขึ้นได้
อันตรายต่ออาการแพ้ที่เกิดขึ้นจากฝุ่น PM 2.5
ฝุ่น PM 2.5 สามารถทำให้เกิดการอักเสบใน 2 รูปแบบคือ
อักเสบเฉียบพลัน มีอาการจาม น้ำมูก คัดจมูก แสบตา คันตา น้ำมูกไหล ยิ่งคนที่เป็นหอบหืดจะเหนื่อยขึ้น จากภาวะหลอดลมตีบอักเสบ มีหายใจเสียงหวีด ส่วนคนที่ไม่เคยเป็นหอบหืดมาก่อนหรือคนที่เป็นหอบหืดตอนเด็กหายแล้วสามารถกลับมาเป็นซ้ำอีกได้เพราะความเข้มข้นของฝุ่น PM 2.5 ที่สูงกระตุ้นให้โรคกลับมาและกระตุ้นให้เป็นโรคใหม่ได้ นอกจากนี้ยังส่งผลกับภูมิแพ้ผิวหนัง กระตุ้นผื่นภูมิแพ้ผิวหนังและลมพิษได้ด้วย
อักเสบเรื้อรัง มีอาการคัดจมูกมากจนทนไม่ไหว ปวดมาก ปวดซีกเดียว มีมูกสีเหลืองเขียวออกมา การได้กลิ่นลดลง ซึ่งเป็นอาการของโพรงไซนัสอักเสบหรือภูมิแพ้กำเริบรุนแรงได้ นอกจากนี้ที่สำคัญมากการเกิดการอักเสบเรื้อรังในทางเดินหายใจ ทำให้เกิดเซลล์ผิดปกติกลายเป็นมะเร็งต่างๆ ในอนาคต อาทิ "มะเร็งปอด" เป็นต้น
เรากำลังแพ้ฝุ่น PM 2.5 อยู่หรือเปล่า?
วิธีการสังเกตในบุคคลทั่วไป อาจมีอาการระคายเคืองโพรงจมูก มีจาม น้ำมูกใส ไอ หรือหายใจไม่สะดวก อาจมีตาแดง คันตา น้ำตาไหล
ในผู้ป่วยกลุ่มโรคภูมิแพ้ โพรงจมูกอักเสบ โรคหอบหืด หรือโรคปอดอื่นๆ จะพบว่ามีอาการกำเริบของโรค ตั้งแต่คัดจมูกมาก มีน้ำมูกไหล ไอ หอบเหนื่อย หายใจเสียงหวีด บางรายอาจรุนแรงถึงระบบหายใจล้มเหลวได้
ในกลุ่มผู้ป่วยภูมิแพ้ผิวหนัง มีอาการกำเริบของโรคคันมาก เกิดผื่นแดงตามผิวหนังคุมโรคไม่ได้
การรักษาโรคภูมิแพ้กลุ่มภูมิแพ้ทางเดินหายใจ
หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยหลังจากได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้ใดบ้าง เราจะรู้วิธีและสามารถหลีกเลี่ยงการก่อภูมิแพ้ดังกล่าวได้อย่างถูกวิธี รวมถึงควรหลีกเลี่ยงมลพิษและฝุ่น PM 2.5 ร่วมด้วย เพื่อลดการกำเริบของโรคและลดการเกิดการแพ้สารก่อภูมิแพ้ใหม่ๆ อีกได้
การใช้ยาพ่นต่อเนื่อง
การล้างจมูก ต้องล้างให้ถูกวิธีด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกในโพรงจมูก
การใช้วัคซีนภูมิแพ้ (Immunotherapy) เพื่อให้ร่างกายแพ้สารก่อภูมิแพ้น้อยลงหรือหายจากการแพ้สารก่อภูมิแพ้นั้น เช่น ต่อไรฝุ่น ต่อรังแคน้องแมว เกิดภูมิคุ้มกันที่ดีต่อสารก่อภูมิแพ้ ใช้เวลารักษาประมาณ 3 – 5 ปี ทั้งนี้ขึ้นกับการตอบสนองและผลข้างเคียงของผู้ป่วย ปัจจุบันมีทั้งวิธีฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และอมใต้ลิ้น
การผ่าตัด ในกรณีที่เป็นไซนัสอักเสบรุนแรงหรือมีผนังกั้นช่องจมูกคด หรือมีติ่งเนื้อ Polyp โดยต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดและประเมินการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น
ยาเสริมอื่นๆ ตามอาการ เช่น ยาแก้แพ้ชนิดรับประทานแบบไม่ง่วง ยาหยอดตาแก้แพ้ หากมีอาการภูมิแพ้เยื่อบุตาอักเสบร่วม
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรมองว่าโรคภูมิแพ้เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอาการแพ้ที่เกิดจากฝุ่น PM 2.5 ควรต้องพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจเช็กอย่างละเอียดและปฏิบัติตามคำแนะนำ เพราะหากปล่อยไว้จนเรื้อรัง นอกจากยากต่อการรักษา ยังอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อร่างกายมากกว่าที่คิด