เทศกาลกินเจ 2566 ช่วงเวลาอิ่มบุญ 9 วัน 9 คืน ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม ไปจนถึงวันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม ตามตำนานเล่าขานและความเชื่อเกี่ยวกับการกินเจมีมาอย่างยาวนานและเก่าแก่ถึง 400 ปี โดยมีจุดเริ่มต้นในมณฑลฟูเจียนของประเทศจีน ก่อนจะแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย จากชาวจีนที่โล้สำเภามาทำมากินที่ภาคใต้ของไทย แม้ประโยชน์ของการกินเจ หรือการถือศีลกินผัก มักถูกมองในแง่ของศาสนา เน้นลดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ร่วมกับการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ แต่ก็แฝงมาด้วยประโยชน์ทางสุขภาพ ที่มีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ออกมาสอดรับกับเทรนด์การกินอาหารเพื่อสุขภาพของคนไทยที่เพิ่มสูงขึ้น
“อิ่มบุญ อิ่มใจ” ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองศาสนา
มุมมองของศาสนา จะมองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของชีวิตและจิตใจ ได้แก่
“ผลดีต่อสุขภาพ”ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์
มุมมองของแพทย์ จะมองประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ ได้แก่
การเลือกอาหารในช่วงกินเจ มีหลักง่ายๆดังนี้
กินเจแล้วจะขาดสารอาหารหรือไม่?
หลายคนกลัวว่ากินเจแล้วจะได้อาหารไม่ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีน ที่มักจะเข้าใจว่าโปรตีนในเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีกว่าโปรตีนในพืช ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะแท้จริงแล้วมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกัน และโปรตีนในถั่วยังมีถึง 10 ชนิดด้วยกัน นอกจากนี้ อาหารในหมู่อื่นก็ยังมีอยู่ในพืชครบทั้งสิ้น จึงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการกินอาหารมากกว่าว่า กินครบ 5 หมู่หรือไม่ ดังนั้นทุกเพศ ทุกวัย ทุกกลุ่มสามารถกินกันได้ แต่ต้องมีการควบคุมคุณค่าทางโภชนาการที่ควรได้รับในแต่ละวันให้ครบด้วย
การกินเจที่ถูกหลัก นอกจากจะทำให้เราไม่ขาดสารอาหาร จากการงดเว้นเนื้อสัตว์แล้ว เรายังจะได้รับอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย การกินเจร่วมกับการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส ก็จะช่วยช่วยให้สุขภาพดีขึ้น และได้บุญอีกด้วย
เน้นกินผักผลไม้ ระมัดระวังสารพิษ อย่าลืมล้างให้สะอาด
สารพิษในผักผลไม้ ที่ผู้กินเจควรระมัดระวัง อาทิ กรดซาลิซิลิค มักจะอยู่ในผักดอง ผลไม้ดองเพื่อป้องกันเชื้อรา เช่น ผักกาดดอง, ขิงดอง, มะม่วงดอง สารพิษนี้จะทำลายเซลล์ในร่างกาย เกิดอาการคลื่นไส้, อาเจียน, ผื่นขึ้นตามร่างกาย และความดันต่ำ เป็นต้น
โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ หรือสารฟอกขาว มักจะอยู่ในผัก แป้ง และเส้นก๋วยเตี๋ยว เช่น ถั่วงอก, เห็ด, หน่อไม้ และดอกไม้จีน เป็นต้น เมื่อร่างกายสะสมสารพิษนี้เข้าไปบ่อยๆ จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้อง, ท้องเสียอย่างรุนแรง, หายใจลำบาก และปวดศีรษะ เป็นต้น และ ยาฆ่าแมลง ที่มักจะอยู่ในผัก ผลไม้สด สารพิษนี้เป็นพิษต่อระบบประสาท จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้, อาเจียน, วิงเวียนศีรษะ และทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงได้
คำแนะนำในการล้างผักผลไม้ คือ ควรแช่ด้วยเบกกิ้งโซดา, น้ำส้มสายชู, น้ำยาล้างผัก, ด่างทับทิม หรือเกลือป่น 10-15 นาที แล้วล้างออกโดยใช้น้ำไหลผ่านจะช่วยลดปริมาณสารพิษตกค้างได้มากกว่าการล้างปกติ