
เราต่างรับรู้ถึงอันตรายของ PM 2.5 (Particulate Matter 2.5) และสัมผัสมาแล้วกับตัวเอง ทั้งผื่นคัน อาการแสบจมูก ตาแดง เพราะอนุภาคเล็กจิ๋วขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2.5 ไมครอน ที่แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซต่างๆ อันเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงธรรมชาติที่ไม่สมบูรณ์ เช่น การเผาไหม้ของรถยนต์ การเผาสิ่งปฏิกูล ควันบุหรี่ รวมถึงฝุ่นจากการก่อสร้าง
ด้วยขนาดที่เล็กมากทำให้เมื่อสูดเข้าไป อนุภาคเล็กๆ เหล่านี้จะสามารถผ่านลงไปได้ลึกจนถึงถุงลมซึ่งเป็นส่วนปลายสุดของปอด ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อหลอดลมฝอย ถุงลม และยังดูดซึมผ่านเส้นเลือดฝอยผ่านเข้าสู่กระแสเลือดได้ในที่สุด สารเหล่านี้จะมีผลต่อร่างกายมากมาย ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระของร่างกายลดลง เกิดการอักเสบของทางเดินหายใจในคนสูงอายุ และโดยเฉพาะเด็กเล็ก รวมถึงคนที่มีโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง ได้แก่ โรคภูมิแพ้ โรคหืด และโรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งจะทำให้มีอาการกำเริบได้ ในระยะยาวยังมีผลต่อาการทำงานของปอดอีกด้วย
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ (PNAS) พบว่า อนุภาคของฝุ่นขนาดเล็ก เช่น PM 2.5 สามารถตรวจพบได้ในตัวอย่างน้ำไขสันหลัง (human cerebrospinalfluids (CSFs))
เมื่อใช้หนูทดลองมาเป็นตัวทดสอบพบว่า อนุภาคฝุ่นขนาดเล็กๆ เหล่านั้น สามารถผ่านไปที่เซลล์ในระบบประสาทผ่านทางกระแสเลือด ทีมวิจัยยังระบุว่า อนุภาคฝุ่นขนาดเล็กเหล่านี้ใช้เวลากำจัดออกจากสมองได้ช้ากว่าอวัยวะอื่นๆ โดยฝุ่นที่ได้รับผ่านทางเดินหายใจ อาจไปสู่สมองได้โดยตรง ผ่านเซลล์ในจมูก หรือเมื่อไปที่ปอดจะผ่านเข้าสู่ระบบกระแสเลือดในปอด และส่งต่อไปยังสมองได้
PM 2.5 กระทบพัฒนาการสมองของเด็ก ทำ IQ ต่ำ-สมาธิสั้น
ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช หัวหน้าหน่วยประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เผยข้อมูลฝุ่น PM 2.5 ภัยร้ายก่อให้เกิดโรคสมอง ระบุว่า ฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สำหรับเด็กจะส่งผลให้ไอคิวต่ำลง พัฒนาการช้าลง สมาธิสั้น ซึมเศร้า ส่วนในผู้ใหญ่ มีผลต่อโรคสมองเสื่อม ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งภาวะหลอดเลือดสมองตีบ หรือหลอดเลือดสมองแตก บางรายเป็นโรคเหล่านี้ แต่อาการไม่ปรากฏ เมื่อเจอฝุ่น PM 2.5 จึงเกิดอาการทันที ดังนั้น PM 2.5 มีผลต่อสมองทั้งทางตรงและทางอ้อม หลังจากที่มีการสูดดมเข้าไปช่องโพรงจมูก จะเป็นทางผ่านที่ทำให้ PM 2.5 ผ่านเข้าไปที่สมอง และเซลล์ประสาทโดยตรง หรือแม้กระทั่งผ่านกระแสเลือดที่ย้อนกลับมาขึ้นสู่สมองได้
ฝุ่น PM 2.5 ยังสามารถซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ภูมิต้านทานต่ำลง การพาออกซิเจนไปสู่อวัยวะต่างๆ แย่ลง ทำให้เกิดโรคหัวใจมากขึ้น เช่น หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งนอกจากฝุ่นเข้าสู่กระแสเลือดแล้วเกิดกระบวนการสร้างสารอักเสบเรื้อรัง ซึ่งสารเหล่านี้สามารถซึมเข้าสู่สมองได้ ยิ่งไปกว่านั้นฝุ่น PM2.5 ยังผ่านเข้าทางเส้นประสาทการรับกลิ่นที่อยู่เหนือโพรงจมูก ตรงเข้าสู่สมองโดยตรง ทำให้เกิดการอักเสบในสมองขึ้น เกิดโรคทางสมองต่างๆ ตามมามากมายร้ายแรงถึงขั้นเกิดภาวะอัมพาตหรืออาจเสียชีวิตได้ ความรุนแรงขึ้นกับปริมาณฝุ่นที่ได้รับ และระยะเวลาที่ได้สัมผัสฝุ่น
ในเด็กโดยเฉพาะเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้และโรคหืด ทางเดินหายใจของเด็กกลุ่มนี้จะมีความไวต่อการถูกกระตุ้นจากฝุ่นละออง ซึ่งทำให้อาการของโรคแย่ลงง่ายกว่าคนทั่วไป มีวิธีสังเกตุอาการว่าได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นมากหรือไม่นั้น สามารถสังเกตุจากอาการ น้ำมูกไหล ไอจาม แน่นหน้าอก หายใจลำบาก แสบตา น้ำตาไหล ตาแดง หากได้รับฝุ่นเข้าไปสะสมจะทำให้เกิดอาการหนักกว่าคนทั่วไป เช่น หายใจเร็วเฉียบพลัน ไอบ่อยหายใจลำบาก แน่นหน้าอก
หากร่างกายของเจ้าตัวน้อยได้รับฝุ่นพิษ หรือ PM 2.5 นี้สะสมต่อเนื่อง ร่างกายจะสามารถดูดซึมฝุ่นเข้าไปในกระแสเลือด สู่ระบบประสาทและสมอง ส่งผลให้เซลล์สมองผิดปกติและถูกทำลาย เสี่ยงมีสติปัญญาด้อยลง พัฒนาการช้า รวมทั้งยังมีผลทำให้เกิดภาวะสมาธิสั้นอีกด้วย ซ้ำร้ายหากเด็กได้รับการสูดอากาศที่มี PM 2.5 ตั้งแต่อายุยังน้อยและสะสมมากไปตามอายุ ยิ่งมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอดมากกว่าคนในรุ่นก่อน
ดังนั้น ผู้ปกครองจึงต้องป้องกันเด็กจากฝุ่นละออง PM 2.5 โดยให้เด็กหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเวลาที่มีผู้ละออง PM 2.5 ปริมาณสูง สวมใส่หน้ากากชนิดกันฝุ่น PM 2.5 หากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ให้เด็กดื่มน้ำสะอาด 6-8 แก้ว/วัน และรับประทานผักผลไม้ อาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้เด็กมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง