
27 มกราคม 2568 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงมาตรการควบคุมการเผาอ้อย เพื่อช่วยลดฝุ่น PM2.5 ว่า ตั้งแต่ต้นฤดูกาลได้มีการดำเนินการ 2 ส่วน ทั้งการกวดขัน เข้มงวด และสร้างแรงจูงใจ โดยที่ผ่านมาเชื่อว่า ทุกคนได้เห็นแล้วว่า มีมาตรการเข้มงวดกับชาวไร่อ้อย โดยมีการทำข้อตกลงสร้างกติกา ให้โรงงานรับซื้ออ้อยเผาไม่เกินร้อยละ 25 ซึ่งจากการตรวจดูตัวเลขก็พบว่า ล่าสุดทั้ง 58 โรงงาน ไม่มีที่ไหนรับซื้ออ้อยเผาเกินร้อยละ 25 ต่อวันแล้ว ค่าเฉลี่ยต่อวันล่าสุดอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 10-11 และเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์
ส่วนมาตรการสร้างแรงจูงใจ จะทำ 3 ส่วน ควบคู่กันไป คือ 1.การช่วยเหลือให้เงินชดเชยกับเกษตรกรที่ตัดอ้อยสดส่งโรงงาน โดยที่ผ่านมาให้ตันละ 120 บาท ดำเนินการมาถึง 3 ปี แต่มาตรการได้สิ้นสุดลงแล้ว ตนจึงส่งมาตรการใหม่ คือช่วยเหลือทั้งอ้อยสด และการตัดใบอ้อยเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนพฤศจิกาที่ผ่านมา วงเงินตันละ 120 บาทเช่นกัน
2.ส่งเสริมเกษตรกรใช้เครื่องมือขนาดเล็ก เข้าไปตัดใบก่อนที่จะตัดอ้อยได้ 3.ได้มีการพูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะต้องมีการกำหนดรับซื้อไฟฟ้าจากไบโอแมส ซึ่งเป็นส่วนที่นำกากอ้อยที่ผสมกับใบ ไปผลิตไฟฟ้า โดยให้กำหนดราคาที่เหมาะสมและไม่แพงเกินไป และเป็นราคาที่สร้างรายได้ สร้างมูลค่าให้ระบบเศรษฐกิจ และเป็นผลประโยชน์ส่วนหนึ่งให้เกษตรกรที่ตัดอ้อยสดและตัดใบให้กับโรงงาน
ส่วนที่มีรายงานข่าว ยังพบเกษตรกรเผาอ้อย ถือเป็นการท้าทายก่อนปิดหีบอ้อยหรือไม่ นายเอกนัฏ เชื่อว่า ไม่มีเรื่องการเผาท้าทาย แต่อาจจะมีความเข้าใจผิด จากการดูตัวเลขและสถิติการรับอ้อยเผาสะสม ตั้งแต่ต้นฤดูกาลและการรับอ้อยเผาต่อวัน ใน 58 โรงงาน มีประมาณ 10-11 แห่ง ที่ยังรับซื้ออ้อยเผาเกินร้อยละ 25 แต่ขณะนี้ทุกโรงงานตัวเลขต่อวันไม่เกิน ร้อยละ 25
ซึ่งหากคำนวนรวมรับอ้อยเผาสะสมตั้งแต่ต้นฤดูกาล ก็กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง และไม่มีโรงงานไหนฝ่าฝืนมาตรการนี้ ขณะที่การเผาที่ยังมีอยู่อาจเกิดจากอุบัติเหตุ หรือบางแปลงตั้งตัวไม่ทัน เป็นแปลงเล็กแปลงน้อย ต้องเผาจริงๆ เพราะรถตัดขนาดใหญ่เข้าไม่ได้
ปัจจุบันทุกโรงงานรับซื้ออ้อยสดถึงร้อยละ 90 อ้อยเผารับอยู่ที่ร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีก่อนก็ถือว่าลดลง ร้อยละ 10-20 ซึ่งหากทำเช่นนี้จนถึงฤดูกาลปิดหีบอ้อยในเดือนมีนาคม-ต้นเมษายน ก็จะรักษาการเผาพื้นที่เกษตรในที่โล่งได้เป็นล้านๆ ไร่ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าดำเนินการอย่างเข้มงวด
แต่สิ่งที่ต้องเร่งคือการวางระบบอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือปลายเหตุเท่านั้น หากวางระบบดีๆ โดยเฉพาะให้ใบอ้อยมีมูลค่า ตัดรวบรวมส่งโรงงานก็จะเพิ่มมูลค่าได้ หากทำครบวงจรก็ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะเกิดการเผากี่เปอร์เซ็นต์ และทุบกระปุกเงินของรัฐบาลปีละเกือบหมื่นล้านบาท โดยมาตรการตัดอ้อยสดและใบส่งโรงงาน ถือเป็นมาตรการที่ดี สามารถทำได้ เช่นเดียวกับประเทศบราซิล
ที่ส่งออกน้ำตาลอันดับ 1 ของโลก ก็สามารถจัดระบบตัดอ้อยสดได้ถึงร้อยละ 90 ซึ่งคล้ายกับประเทศไทย ที่ขณะนี้ทุกคนให้ความร่วมมือ ส่วนใครที่กระทำความผิด โดยเฉพาะการเผาพื้นที่การเกษตรในที่โล่ง ก็ถือว่าผิดกฎหมาย กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ดำเนินการเข้มงวดในเรื่องนี้อยู่