svasdssvasds
เนชั่นทีวี

รักษ์โลก

ยางรถยนต์กับบทบาทการสร้างมลพิษสู่โลก

รู้หรือไม่? ยางรถยนต์เป็นหนึ่งในตัวการสร้างมลพิษเกินจินตนาการ โดยข้อมูลทางสถิติเผยยางรถปล่อยอนุภาคมลพิษในอากาศมากกว่าไอเสียที่ปล่อยออกมาจากรถแล้ว ซ้ำยังสร้างไมโครพลาสติกลงสู่ทะเลแม้จะผลิตมาเพื่อถูกใช้บนท้องถนน

มลพิษทางอากาศเป็นปัญหาที่หลายเมืองใหญ่เผชิญอยู่ มีงานวิจัยพบว่า หนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศมาจาก "ยางรถยนต์" โดยหนึ่งในนั้นคือรายงานจากมหาวิทยาลัย Imperial College London ของสหราชอาณาจักร ที่พบว่า ปัจจุบันอนุภาคมลพิษในอากาศกว่า 52% (หรือมากกว่าครึ่งหนึ่ง) มาจากการสึกหรอของยางและเบรกรถยนต์ ขณะที่ 24% มาจากการเสียดสีของถนน มีเพียง 15% ที่มาจากไอเสียรถยนต์ (ซึ่งตำกว่าที่หลายคนคาดการณ์) และอีกราว 10% มาจากรถบรรทุก (HGVs) ทำให้ขณะนี้ "ยางรถยนต์เป็นตัวการปล่อยมลพิษมากที่สุด"

ยางรถยนต์กับบทบาทการสร้างมลพิษสู่โลก

ผลการวิจัยพบว่า เมื่อยางรถยนต์ถูกใช้งานไปเรื่อยๆ ยางก็จะเกิดการสึกหรอในขณะที่รถเบรก เร่งความเร็วหรือเลี้ยวโค้ง อนุภาคขนาดเล็กของยางรถยนต์จะแยกออกมา เศษยางที่สึกหรอจำนวนมากจะถูกชะล้างหรือถูกพัดพาลงสู่แม่น้ำและทะเล หรือบางทีก็ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ ผู้คนสูดสมเข้าไปส่งผลเสียต่อสุขภาพ นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดปัญหา "ไมโครพลาสติก" อีกด้วย โดยรถวิ่งล้อหมุนด้วยน้ำหนักมากกว่า 1 ตันของรถจะทำให้เกิดการเสียดสีกับพื้นถนนจนชิ้นส่วนยางหลุดออกมา ลายบนล้อยางของเราบางลงเรื่อยๆ และนั่นเป็นเหตุผลให้ทุกคนที่ใช้รถยนต์ต้องเปลี่ยนยางอย่างสม่ำเสมอตามอายุขัยของยางรถยนต์ และชิ้นส่วนเหล่านั้นเมื่อหลุดออกจากยาง มันจะกลายเป็นอนุภาคหลายชนิด และสร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อมในภายหลัง

โดยเฉลี่ยแล้วยางรถยนต์จะสูญเสียน้ำหนักไป 4 กิโลกรัมตลอดอายุการใช้งาน  อนุภาคมลพิษจากยางรถยนต์อาจมีสารเคมีที่เป็นพิษมากมายไม่ว่าจะเป็น โพลีอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน เบนโซไทอาโซล ไอโซพรีน และโลหะหนัก เช่น สังกะสีและตะกั่ว และมันก็สร้างไมโครพลาสติก ในทุกๆ ที่ นักวิจัยระบุว่าการจราจรในเมืองที่มีปริมาณรถมากอาจมีไมโครพลาสติกสูงกว่าที่อื่นถึง 4 เท่า

ยางรถยนต์กับบทบาทการสร้างมลพิษสู่โลก

เรื่องนี้ยังมีงานวิจัยของสหภาพยุโรป พบว่ายางรถยนต์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไมโครพลาสติกในทะเล คิดเป็นจำนวนมากถึง 270 ล้านตันต่อปีเลยทีเดียว ดังนั้นจะเห็นว่าการสึกหรอของยางก่อให้เกิดมลพิษทั้งในน้ำ อากาศ และดิน ไม่แพ้การปล่อยมลพิษจากไอเสียยางรถยนต์ แม้จะเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าแต่มลพิษจากยางรถยนต์ยังมีอยู่ บรรดานักวิทย์และนักวิจัยในต่างประเทศจึงออกมาเรียกร้องให้ หน่วยงานรัฐเข้มงวดกับผลเสียจากยางรถยนต์มากขึ้น

จากงานวิจัยทำให้เราได้ทราบว่า อนุภาคพลาสติกขนาดเล็กจำนวนจะถูกพัดจากถนนลงสู่มหาสมุทรทุกๆ ปี และการศึกษายังชี้ให้เห็นว่า ไมโครพลาสติกที่ถูกลมพัดพาไปเป็นต้นตอใหญ่ของมลพิษทางทะเลมากกว่าแม่น้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังได้รับความสนใจมากในปัจจุบัน การวิเคราะห์จะมุ่งเน้นไปที่อนุภาคเล็กๆ ที่เกิดจากยางรถยนต์ (Tyres) และผ้าเบรก (Brake Pads) เมื่อเกิดการสึกหรอ โดยคาดการณ์ว่าจะมีการสะสมของอนุภาคขนาดเล็กกว่า 0.01 มิลลิเมตร ประมาณ 550,000 ตันในแต่ละปี ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งนั้นจะไปจบลงที่มหาสมุทรมากกว่า 80,000 ตัน จะตกบนพื้นที่ที่ห่างไกลซึ่งปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะ และอาจทำให้เกิดการละลายของน้ำแข็งเพิ่มมากขึ้นได้ เนื่องจากวัตถุเหล่านี้ดูดความร้อนจากดวงอาทิตย์

“ถนนเป็นแหล่งผลิตไมโครพลาสติกที่สำคัญในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงมหาสมุทรด้วย” Andreas Stohl จากสถาบันวิจัยอากาศแห่งนอร์เวย์ กล่าว

 

ยางรถยนต์กับบทบาทการสร้างมลพิษสู่โลก

ยางรถยนต์ในท้องทะเลกับปัญหาที่ตามมาไม่รู้จบ

สำหรับยางรถยนต์ที่ใช้แล้วและมีการนำไปใช้เป็นปะการังเทียม หรือเป็นแนวกันกระแทกเรือ/ท่าน้ำ หรือเป็นแนวชะลอแรงกระแสน้ำ เมื่อยางแช่ในน้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำจืด น้ำเค็ม หรือน้ำกร่อย มีโอกาสที่น้ำจะชะเอาสารต่างๆ ที่อยู่ในยางรถยนต์ออกมาในอัตราและปริมาณต่างๆ กันขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันเกี่ยวกับการตรวจวัดได้ของสารอินทรีย์ต่างๆ ที่มีอยู่ในน้ำชะ ตัวอย่างเช่น

1) พบ High aromatic oils ในแท็งก์น้ำที่เลี้ยงปลาเทราท์ และใส่ยางรถยนต์แช่ไว้ รวมทั้งพบ Aromatic nitrogen ในน้ำดี (Bile) ของปลาด้วย

2) พบ PAHs  ในน้ำภายหลังจากแช่ยางรถยนต์ไว้ในแท็งก์ที่มีน้ำทะเลเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ความเข้มข้นของ PAHs ที่ตรวจวัดได้มีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ เนื่องจากใช้ยางรถยนต์ต่างชนิดซึ่งมีสูตรผสมแตกต่างกัน แต่เป็นที่สังเกตว่าทุกผลศึกษาจะพบ Pyrene มีค่าความเข้มข้นสูงที่สุด

3) พบว่าในน้ำชะยางรถยนต์จะประกอบด้วยสารพวกคาร์บอนไดซัลไฟด์ (Carbon disulfide), เมททิลเอททิลคีโตน Methyl ethyl ketone, โทลูอีน (Toluene) และ ฟีนอล (Phenol)

4) จากการสกัดและวิเคราะห์น้ำชะยางรถยนต์ที่บดละเอียด พบสาร Benzothiazole, Butylkated hydroxyanisole, n-Hexadecane, 4-[t-octyl) Phenol

ความเข้มข้นของการตรวจพบสารอินทรีย์เหล่านี้ในน้ำชะ ขึ้นกับประเภทของยางรถยนต์ ซึ่งจะมีสูตรการผลิตยางแตกต่างกัน อายุของยางรถยนต์ ระยะเวลาสัมผัสกับน้ำ ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการชะเท่าที่มีการศึกษา ได้แก่ สมบัติของน้ำชะ (ความเค็ม ความเป็นกรดด่าง) ประเภทชนิดและอายุของยางรถยนต์ (เบญจลักษณ์ กาญจนเศรษฐ์.  สารมลพิษอินทรีย์จากยางรถยนต์. วารสารสิ่งแวดล้อม ปีที่ 17, ฉบับที่ 3)

 

ฝรั่งเศสสั่งเก็บยางรถยนต์เก่าใต้ทะเลจากโครงการปะการังเทียม

ในช่วงยุค 80 รัฐบาลท้องถิ่นของฝรั่งเศสเคยสนับสนุนวิธีการรีไซเคิลยางรถยนต์ด้วยการนำไปทำโครงการปะการังเทียม โดยมีคำสั่งให้นำยางกว่า 25,000 เส้นไปทิ้งลงทะเลบริเวณชายฝั่งเมืองคานส์ ถึงเมืองอันติเบส เพราะเห็นว่าเป็นหนทางที่จะสร้างที่อยู่ให้กับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลและแนวปะการัง รวมถึงกำจัดยางรถยนต์เก่าไปในตัว

ทว่า ความหวังดีกลับกลายเป็นโชคร้ายให้กับสัตว์ทะเล เพราะในปี 2005 นักวิจัยได้พบว่ายางรถยนต์เหล่านั้นก่อมลพิษใต้ทะเลด้วยการปล่อยสารเคมีที่อันตรายต่อชีวิตอย่างโลหะหนัก  มีการปล่อยสารพิษออกมาปนเปื้อนในท้องทะเล ทำให้สัตว์น้ำไม่กล้าว่ายเข้ามาใกล้ อีกทั้งสารพวกนี้ก็เป็นอันตายต่อมนุษย์ด้วย

สถานการณ์เปลี่ยนไปอีกครั้งในปี 2015 เมื่อมีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งออกมาเผยว่า ยางเก่าไม่มีอันตรายทั้งต่อสัตว์น้ำและมนุษย์อย่างแน่นอน แต่ในที่สุดก็มีงานวิจัยออกมาและได้ข้อสรุปว่า มีสารพิษออกมาจากยางเก่าจริงๆ นับแต่ตั้งแต่นั้นมามนุษย์ก็เริ่มเปลี่ยนจากการทิ้งยางไปเป็นซากรถหรือเรือเก่า รวมถึงแท่งคอนกรีตเพื่อสร้างแนวปะการังแทน

ทั้งนี้ รัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มสั่งเก็บยางขึ้นจากน้ำทะเลในปี 2015 โดยใช้งบประมาณมากถึงหนึ่งล้านยูโร หรือราว 38 ล้านบาท ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อาทิ รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ก็มีการตระหนักถึงปัญหายางรถยนต์ใต้น้ำและมีการสั่งเก็บยางรถยนต์กว่าหนึ่งหมื่นเส้นขึ้นจากทะเลแล้วเช่นกัน