
ขยะที่คนรุ่นก่อนเราทิ้งอาจส่งผลกระทบกับเราในวันนี้ และขยะที่เรายังคงจะทิ้งต่อไปก็จะส่งผลต่อคนรุ่นลูกหลานเราในอนาคต ความน่ากลัวไม่ได้อยู่ที่ผลกระทบด้านสภาพแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลพวง "ด้านอาหาร" โดยเฉพาะอาหารทะเลที่ได้รับอนุภาคของพลาสติกเข้าไป เพราะล่าสุด นักวิทยาศาสตร์พบหอยแมลงภู่กำลังมีขนาดเล็กลงและประชากรลดน้อยลง หนึ่งในผลพวงจากไมโครพลาสติกในท้องทะเลที่ส่งผลให้ทะเลเป็นพิษต่อพวกมัน
การศึกษาชิ้นใหม่นี้เผยว่า มลพิษขยะพลาสติกกำลังเป็นภัยคุกคามต่อหอยแมลงภู่ เราทราบกันดีว่าท้องทะเลของเราปนเปื้อนไปด้วยขยะพลาสติก ไม่ว่าจะเป็นถุงพลาสติก ขวดน้ำ โฟม และอีกสารพัดขยะที่เกลื่ออยู่ในทะเลและชายหาด ซึ่งมันสามารถกลายเป็น "ไมโครพลาสติก" หรือพลาสติกชิ้นเล็ก ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ใต้ทะเล
ไมโครไฟเบอร์เป็นไมโครพลาสติกประเภทหนึ่ง ที่เราพบได้มากที่สุด โดยคิดเป็น 91% ของไมโครพลาสติกทั้งหมดที่ล่องลอยในทะเล หากถามว่าไมโครไฟเบอร์เหล่านี้มาจากขยะประเภทไหน ก็บอกได้เลยว่ามาจากเส้นใยของผ้าที่มาจากการซักเสื้อผ้าของเรา ๆ กันนี่แหละ รวมไปถึงอาจมาจากการที่เราใส่เสื้อผ้าแล้วลงเล่นน้ำและจากสภาพดินฟ้าอากาศและการเสียดสีของอุปกรณ์เดินเรือด้วย
สัตว์ทะเลได้รับไมโครไฟเบอร์เหล่านี้เข้าไปเต็ม ๆ โดยเฉพาะหอย ซึ่งเป็นสัตว์ที่กินอาหารโดยการกรองอนุภาคอินทรีย์ออกจากน้ำ และในการศึกษาชิ้นนี้ก็บ่งชี้ว่า หอยกินไมโครพลาสติกที่มีความเข้มข้นสูงกว่าสัตว์ทะเลส่วนใหญ่มาก
จากการศึกษาพบว่า หอยแมลงภู่สีน้ำเงิน (มีความยาวเพียง 1 ซม.) หรือมีอายุในช่วง 3 เดือนแรก แน่นอนว่าสัตว์ที่มีอายุน้อยจะอ่อนแอกว่าตัวเต็มวัยในช่วงของการเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อม และผลกระทบที่มันต้องเจอในช่วงนี้คือการกินไมโครพลาสติกเข้าไปจำนวนมาก
การสัมผัสไมโครไฟเบอร์โพลีเอสเตอร์เป็นเวลานานส่งผลให้หอยแมลงภู่มีขนาดเล็กลงและเติบโตช้าลง จากการทดลองนำหอยแมลงภู่ไปสัมผัสกับไมโครไฟเบอร์ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า หอยที่สัมผัสมีอัตราการเติบโตต่ำกว่าโดยเฉลี่ย 36% เมื่อเทียบกับหอยแมลงภู่ที่ไม่ได้สัมผัวกับไมโครไฟเบอร์ใด ๆ ผลลัพธ์นี้พบได้เฉพาะในหอยแมลงภู่ที่สัมผัสไมโครไฟเบอร์โพลีเอสเตอร์ที่มีความเข้มข้นสูงสุดเท่านั้น การสัมผัสไมโครไฟเบอร์จากฝ้ายไม่ได้ทำให้อัตราการเติบโตของหอยแมลงภู่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
การศึกษาความเป็นพิษแสดงให้เห็นว่าไมโครพลาสติกสามารถสร้างความเสียหายในระดับโมเลกุลและเซลล์ในหอยแมลงภู่ที่โตเต็มวัย งานวิจัยชิ้นหนึ่งบันทึกการตอบสนองการอักเสบอย่างรุนแรงในเซลล์หอยแมลงภู่หลังจากสัมผัสกับอนุภาคไมโครพลาสติกโพลิเอธิลีนเป็นเวลาหกชั่วโมง
อัตราการเติบโตของหอยแมลงภู่ที่ลดลงอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในวงกว้าง
หอยแมลงภู่อายุน้อยจะเติบโตอย่างรวดเร็วถึงขนาดที่ออกสู่ท้องตลาดภายใน 12 ถึง 24 เดือน แต่พวกมันต้องแย่งชิงพื้นที่และอาหารกันเองและกับสายพันธุ์อื่นๆ หอยแมลงภู่ที่อายุน้อยกว่าที่ไม่สามารถเติบโตได้เร็วอาจถูกสายพันธุ์อื่นแซงหน้าและอาจถูกปล้นสะดมสูงกว่า
หอยแมลงภู่ตัวเล็กก็มีคุณค่าทางอาหารน้อยกว่าเช่นกัน ผู้ล่า เช่น ปู หอยแมลงภู่ ปลาดาว และนกหลายชนิด อาจพบว่าตัวเองต้องกินหอยแมลงภู่ขนาดเล็กเหล่านี้ให้มากขึ้น สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อประชากรของหอยแมลงภู่และผู้ล่าของมัน
ผลกระทบที่มนุษย์จะได้รับ
มนุษย์ในฐานะผู้บริโภคอาหารทะเลก็จะได้รับผลกระทบจากหอยแมลงภู่ที่มีขนาดเล็กลงเช่นกัน หอยนางรม หอยแมลงภู่ และหอยเชลล์เพียง แค่ทั้งหมดนี้ก็สามารถเป็นอาหารให้แก่ประชากรโลกมากกว่า 8 ล้านตันในแต่ละปี แต่อัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าหมายความว่าหอยแมลงภู่จะใช้เวลานานกว่าจะโตได้ขนาดที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ สัตว์ขนาดเล็กลงและระยะเวลาออกสู่ตลาดนานขึ้นอาจลดความสามารถในการทำกำไรของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสองฝาในอนาคต
นอกจากนี้ หอยยังเป็นสัตว์ที่สามารถบ่งชี้คุณภาพของน้ำในระบบนิเวศนั้น ๆ ได้ หากระบบนิเวศแย่เราจะพบเจอพวกมันได้น้อยลง ไมโครพลาสติกเป็นผลทำให้คุณภาพน้ำเป็นพิษต่อหอย แม้พวกมันจะปรับตัวได้ แต่ความเป็นพิษและผลกระทบที่ว่าขนาดตัวของพวกมันจะเล็กลง ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สภาพแวดล้อมทางทะเลถูกคุกคามจากการทำประมงเกินขนาดและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ดังนั้น ในอนาคตหอยจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษมากขึ้น หากเราไม่สามารถหาทางแก้ไขปัญามลพิษในท้องทะเลเช่นนี้ได้ เราต้องเร่งแก้ปัญหาตั้งแต่ตอนนี้ การศึกษาไม่ได้มีไว้ให้เรียนรู้ข้อมูลหรือแค่การรับรู้เท่านั้น แต่มีขึ้นเพื่อทราบปัญหาและเร่งหาทางแก้ไขได้ทัน นี่คือเป้าหมายสูงสุดของงานวิจัยทุกชิ้น
ที่มา : Plastic fibres stunt growth in mussels by more than a third – here’s why this is a concern