
วันนี้ (8 มีนาคม 2567) เป็นวันครบรอบ 10 ปี ที่เครื่องบินโดยสาร "Boeing 777-200ER" ของสายการบิน Malaysia Airlines เที่ยวบิน MH370 หายไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ปี 2557 ทำให้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ลึกลับและเป็นปริศนาทางการบินที่เป็นที่สุดของโลก และแวดล้อมไปด้วยทฤษฎีต่าง ๆ ตั้งแต่อุบัติเหตุ โศกนาฎกรรมไปจนถึงการฆาตกรรม
เครื่องบินลำนี้ทะยานขึ้นจากสนามบินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย เพื่อมุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่งของจีน ก่อนจะหายไปจากจอเรดาร์ในเวลาไม่นาน และแม้จะใช้ปฏิบัติการค้นหาที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การบิน ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 75,000 ตารางกิโลเมตร ใต้ทะเลทางตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย แต่ก็พบแค่ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ไม่กี่ชิ้น ที่ถูกคลื่นซัดไปอยู่บนชายหาดในดินแดนที่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร ก่อนที่การค้นหาจะยุติลงเมื่อเดือนมกราคม ปี 2560
ครอบครัวของผู้สูญหายยังคงหวังว่าจะพบซากเครื่องบิน และทางการจะสามารถให้คำตอบที่คาใจมานานนับสิบปีได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขา ซึ่งนอกเหนือจากการคาดการณ์หรือทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด โดยในสัปดาห์นี้พวกเขาเริ่มกลับมามีความหวัง เมื่อนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ประกาศว่า "ยินดีที่จะเปิดให้มีการค้นหา MH370 อีกครั้ง ถ้ามีหลักฐานที่ "น่าสนใจ" ปรากฎขึ้น
บริษัท "โอเชียน อินฟินิตี" (Ocean Infinity) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตหุ่นยนต์ในรัฐเท็กซัส ของสหรัฐฯ ได้เสนอไปยังรัฐบาลมาเลเซียว่า จะขอค้นหา MH370 ใหม่ โดยอ้างว่าพบหลักฐานใหม่ในเวลา 6 ปี หลังจากเคยล้มเหลวในการค้นหา เมื่อปี 2561 ซึ่งถ้าได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลมาเลเซีย ก็จะจุดประกายความหวังให้กับครอบครัวที่รอคอยอีกครั้ง
ไทม์ไลน์การหายไปของ MH370
เครื่องบิน Boeing 777 หมายเลขที่จดทะเบียน "9M-MRO" ทะยานขึ้นจากสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ของมาเลเซีย เมื่อเวลา 00.41 นาที ของวันที่ 8 มีนาคม 2557 และมีกำหนดการเดินทาง 5 ชั่วโมง 34 นาที ก่อนไปถึงสนามบินนาชาติปักกิ่ง ในเวลาประมาณ 06.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น แต่หายไปจากจอเรดาร์ขณะอยู่บนความสูง 35,000 ฟุต
กัปตันซาฮารี อาห์หมัด ชาห์ วัย 53 ปี ที่มีประสบการณ์การบิน 18,365 ชั่วโมง และเป็นหนึ่งในกัปตันที่อาวุโสที่สุดของ Malaysia Airlines หลังเข้าทำงานเมื่อปี 2526 ซึ่งเที่ยวบินนี้ยังเป็นเที่ยวบินฝึกหัดของ ฟาริก ฮามิด วัย 27 ปี ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะเข้ารับการทดสอบเพื่อเป็นนักบินที่ได้รับการรับรองเป็นนักบินเต็มตัว นอกจากพวกเขาแล้วยังมีพนักงานต้อนรับชาวมาเลเซียอีก 10 คน และผู้โดยสาร 227 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 5 คน พวกเขามีหลากหลายเชื้อชาติ แต่ส่วนใหญ่เป็นมาเลเซียกับจีนที่เหลือเป็นออสเตรเลีย อินเดีย, ฝรั่งเศส, สหรัฐฯ, อิหร่าน, ยูเครน, แคนาดา, รัสเซีย, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์และไต้หวัน
ในห้องนักบินยังสื่อสารกับหอบังคับการบินหลังทะยานขึ้นได้ 38 นาที และอยู่ระหว่างคาบสมุทรมาลายูกับจังหวัดก่าเมาของเวียดนาม และคำพูดสุดท้ายของกัปตันซาห์ฮารีคือ "กู๊ดไนท์ มาเลเซียน ทรี-เซเว่น-ซีโร่" และไม่ติดต่อสื่อสารใด ๆ อีกเลย
หลังผ่านมา 10 ปี ดูเหมือนทฤษฎีจะมาลงเอยที่ "กัปตันเป็นคนทำ" โดยผู้เชี่ยวชาญจากโครงการวิจัยการจัดการจราจรทางอากาศที่ "ยูโรคอนโทรล" (EUROCONTROL) ให้ความเห็นว่า ถ้าเป็นความต้องการที่ทำให้เครื่องบินหายไปของกัปตัน ก็เป็นวิธีที่ฉลาดมาก เพราะการเลือกพื้นที่ที่เครื่องบินหายไประหว่างกัวลาลัมเปอร์กับเวียดนามนั้นถือเป็น "หลุมดำของจริง" เช่นเดียวกับกัปตันอาวุโสของสายการบินในเอเชียคนหนึ่ง ที่มีประสบการณ์ขับเครื่องบิน Boeing 777 ให้ความเห็นว่า บุคคลที่ขับเครื่องบินลำนี้ดูเหมือนจะกระทำโดยเจตนา และจงใจนำเครื่องบินปักหัวลงสู่มหาสมุทร