
การแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภา (State of the Union 2024) ของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เป็นครั้งที่ 3 ในวาระการดำรงตำแหน่ง ได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 21.00 น.ของวันพฤหัสบดีตามเวลาในสหรัฐฯ ถือเป็นค่ำคืนที่สำคัญและเดิมพันสูงสำหรับเขา ที่จะใช้โอกาสนี้โน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเพื่อให้เขาอยู่ในตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 2
ไบเดน วัย 81 ปี แถลงต่อสมาชิกสภาคองเกรสจากของทั้งสองพรรค ตัวแทนเหล่าทัพ ตุลาการศาลสูง สมาชิกคณะรัฐมนตรีและแขกพิเศษหลายคนว่า
"ผมขอบอกกับคนอเมริกันว่า เมื่ออเมริกาล้มลงเราก็จะลุกขึ้นมาใหม่ เรายังคงไปต่อ นั่นแหละอเมริกา"
ชูผลงานด้านเศรษฐกิจ
ยกความสำเร็จในพลิกฟื้นโรงงานผลิตรถยนต์ในเมืองเบลวิเดียร์ รัฐอิลลินอยส์ ที่ก่อตั้งมานานเกือบ 60 ปี และเกือบจะปิดตัว ที่นอกจากจะทำให้โรงงานกลับมาผลิตรถยนต์ คนจำนวนมากมีงานทำแล้ว ยังทำให้โรงงานผลิตรถยนต์ขยายไปเปิดในรัฐใหม่ ๆ ด้วย
สนับสนุนกฎหมายทำแท้ง - ยาราคาถูก
เขาพูดถึงสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ (Reproductive Rights) ในการเข้าถึงการทำแท้งและการรักษาการมีบุตรยาก (fertility treatments) โดยบอกว่า ถ้าชาวอเมริกันเลือกสมาชิกสภาคองเกรสที่สนับสนุนสิทธิในการเลือกไปให้เขา เขาก็สัญญาว่ากฎหมายคุ้มครองสิทธิการทำแท้งที่มีรากฐานจากคดี "โร วี เว้ด" (Roe v Wade) จะกลับมาบังคับใช้ได้อีก และจะทำให้ชาวอเมริกันจะได้ใช้ยาที่ราคาถูกลง
หนุนเก็บภาษีคนรวย
จะขอให้ฝ่ายนิติบัญญัติตั้งเป้าเก็บภาษีขั้นต่ำ 25% ไปยังกลุ่มที่มีฐานะอภิมหาเศรษฐี เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุด ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อเลี่ยงหรือลดภาษี
ประเด็นต่างประเทศ
เขาเกริ่นนำด้วยเรื่องเสรีภาพและประชาธิปไตยถูกโจมตีทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ โดยในต่างประเทศ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย รุกรานยูเครนและสร้างความวุ่นวายทั่วทั้งยุโรปและที่อื่น ๆ
"ถ้าใครในห้องนี้คิดว่าปูตินจะหยุดที่ยูเครน ผมรับประกันได้เลยว่าเขาจะไม่หยุด แต่ยูเครนสามารถหยุดปูตินได้ ถ้าเราจัดหาอาวุธที่จำเป็นให้พวกเขาป้องกันตัวซึ่งเป็นสิ่งที่ยูเครนร้องขอ พวกเขาไม่ได้ขอทหารอเมริกัน และความจริงคือไม่มีทหารอเมริกันอยู่ในสมรภูมิที่ยูเครน และผมก็ตั้งใจว่าจะให้เป็นแบบนั้นต่อไป"
เขาได้พูดถึงองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) ว่าแข็งแกร่งกว่าที่เคย จากการที่ฟินแลนด์เข้าเป็นสมาชิกเมื่อปีที่แล้ว และสวีเดนเพิ่งเข้าร่วมอย่างเป็นทางการปีนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีอุล์ฟ คริสเตอช็อน ของสวีเดน ก็มาเป็นแขกด้วย
เขายังถือโอกาสนี้เหน็บแนมคู่แข่งสำคัญอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ที่แม้จะไม่เอ่ยชื่อแต่ก็รู้ว่าเขาหมายถึงใคร ด้วยการบอกว่าประธานาธิบดีปูตินอาจทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการโดยไม่สน "นาโต" และสหรัฐฯ ก็จะไม่เดินหนีและจะไม่ก้มหัวให้ปูตินหรือทอดทิ้งยูเครนด้วย
ยังมีประเด็นเรื่องสงครามในกาซา ที่เขาบอกว่าสหรัฐฯ จะไม่พักจนกว่าตัวประกันที่ถูกกลุ่มติดอาวุธของฮามาสจับตัวไปจะได้กลับบ้าน และเขาใช้โอกาสนี้เรียกร้องไปยังอิสราเอล ให้ขยายการบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา และย้ำข้อเรียกร้องให้อิสราเอลปกป้องชีวิตพลเรือนจากการสู้รบให้มากกว่านี้ รวมทั้งทำงานกับรัฐบาลปาเลสไตน์เพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ในระยะยาว
ความมั่นคงแนวชายแดน
เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2562 ที่ประเด็นความมั่นคงชายแดนและปัญหาผู้อพยพเข้าเมือง กลายเป็นเรื่องสำคัญที่ถูกนำมาแถลง "State of the Union" ซึ่งเขาเรียกร้องให้พรรครีพับลิกัน ให้ความร่วมมือในการผ่านเป็นกฎหมาย ซึ่งจะเป็นการปฏิรูปที่ยากที่สุดและยุติธรรมที่สุด เพื่อรักษาชายแดนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งที่พรรครีพับลิกันยังไม่ยอมร่วมมือ เป็นเพราะจำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ที่รวมทั้งการเพิ่มกองกำลังลาดตระเวนอีก 1,300 คน ผู้พิพากษาคดีผู้อพยพ 375 คน, เจ้าหน้าที่ดูแลผู้ลี้ภัย 1,600 คน และเครื่องตรวจสอบที่ทันสมัยอีกกว่า 100 เครื่อง เพื่อยับยั้งยาเสพติดด้วย