
แม้สิงคโปร์จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ด้วยเพราะมีสถิติการก่ออาชญากรรมที่ต่ำมาก แต่ก็เข้าตำรา "Low Crime Doesn't Mean No Crime" หรือการมีอาชญกรรมอยู่ในระดับต่ำไม่ได้แปลว่าไม่มีอาชญากรรม และหนึ่งในคดีที่สร้างความเสื่อมเสียให้ประเทศมากที่สุดก็คือ "นายจ้างทารุณกรรมผู้ช่วยแม่บ้านจนตาย"
ไป๋ ไหง่ ดอน ชาวเมียนมา วัย 24 ปี ใช้ 12 คืนสุดท้ายของชีวิต ในสภาพถูกจับมัดติดกับลูกกรงหน้าต่างในบ้านของนายจ้าง ที่แฟลตของการเคหะแห่งชาติในเมืองบิชาน ก่อนเสียชีวิตในเดือนกรกฎาคม ปี 2559 นับตั้งแต่เข้าไปทำงานในบ้านของ "ไกยาติริ มูรูกายัน" ไป๋ได้นอนเพียงวันละ 5 ชั่วโมง ต้องนอนอยู่บนพื้น โดยที่แขนข้างหนึ่งถูกมัดด้วยสายไฟที่มัดโยงไว้กับลูกกรงหน้าต่าง เธอเคยร้องไม่ให้นายจ้างล่ามเธอ แต่กลับได้คำตอบว่าเธอสมควรโดนมัด และกล่าวหาว่าเธอชอบแอบไปเอาอาหารในครัวมากินตอนกลางคืน
ตอนนั้นไกยาติริวัย 41 ปี มีสามีเป็นตำรวจชื่อ "เควิน เชลวัม" จึงได้ใช้อำนาจข่มเหงไป๋ ทั้งทุบตีและให้อดอาหาร จนไป๋น้ำหนักตัวลดลง 15 กิโลกรัม ในเวลา 14 เดือน ที่เข้าไปทำงานให้ไกยาติริ นอกจากนี้เวลาอาบน้ำหรือใช้ห้องน้ำก็ต้องเปิดประตูเอาไว้ ขณะที่ร่างกายของเธอทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันที่ 26 กรกฎาคม ปี 2559 หลังจากถูกไกยาติริกับพรีมา เอส นารายนัศมี แม่วัย 64 ปีของเธอ รุมทำร้าย ไป๋ก็หมดลมหายใจในสภาพผอมโกรก น้ำหนักตัวเหลือเพียง 24 กิโลกรัม
ในความโชคร้ายก็ยังมีสิ่งที่พอจะมอบความยุติธรรมให้เธอได้ เมื่อความทุกข์ทรมานในช่วง 35 วันสุดท้ายของไป๋ ถูกบันทึกโดยกล้องวงจรปิดที่ไกยาธิรีกับเชลวัมติดตั้งไว้ในแฟลต เพื่อคอยสอดส่องไป๋กับลูกสาววัย 4 ขวบ กับลูกชายวัย 1 ขวบ ของพวกเขา ซึ่งส่งผลให้เชลวัมวัย 44 ปี ถูกสั่งพักงานตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม ปี 2559 และถูกตั้งข้อหาหลายกระทงที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดไป๋ ส่วนพรีมาที่มักจะไปพักกับลูกสาวและลูกเขยบ่อยครั้ง ก็ถูกตั้งข้อหาด้วยเช่นกัน
การพิจารณาคดีเมื่อปี 2564 ไกยาธิรียอมรับสารภาพผิดตามข้อกล่าวหา ที่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายร่างกายผู้ช่วยแม่บ้าน ซึ่งข้อหาร้ายแรงที่สุดคือการฆ่าคนตายโดยเจตนา เธอถูกตัดสินจำคุก 30 ปี ยาวนานที่สุดสำหรับคดีล่วงละเมิดผู้ช่วยแม่บ้านในสิงคโปร์ ส่วนแม่ของเธอถูกตัดสินจำคุก 14 ปี แต่วิบากกรรมของไกยาธิรียังไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อวันจันทร์ (26 มิถุนายน 2566) ศาลได้พิพากษาเพิ่มโทษให้เธออีก 3 ปี หลังจากพบว่าเธอยุให้เชลวัมลบภาพการล่วงละเมิดในกล้องวงจรปิด
ทิน หม่อง วิน ผู้ก่อตั้งองค์กร "Helpless Hands for Migrant Workers" ได้ให้สัมภาษณ์สื่อสิงคโปร์ Straits Times ในตอนที่ 3 ของพอดแคสต์ซีรีส์ "True Crimes Of Asia" ถึงพฤติกรรมของสองแม่ลูกว่า "ไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์"
เรื่องราวความทุกข์ทรมานของไป๋ สร้างความตกตะลึงและโกรธแค้นให้กับชาวสิงคโปร์และประชาคมนานาชาติ ทำให้รัฐบาลต้องรีบ "เปลี่ยนระบบการคุ้มครอง" ต่าง ๆ ให้กับบรรดาแรงงานต่างชาติ ที่เข้าไปเป็นผู้ช่วยแม่บ้านในสิงคโปร์ แต่องค์กรเอกชน (NGOs) ทั้งหลายที่เคลื่อนไหวในเรื่องนี้ พากันบอกว่ารัฐบาลต้อง "ทำให้มากกว่านี้" ถึงจะนำไปสู่การล่วงละเมิดแรงงานต่างชาติได้
การที่ไป๋ต้องไปเผชิญชะตากรรมที่โหดร้าย เพราะเธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องหาเงินมาเลี้ยงดูลูกชายวัย 3 ขวบ และการไปอยู่บ้านของไกยาธิรีเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2558 เป็นการเดินทางไปทำงานต่างประเทศครั้งแรก เธอเดินทางจากหมู่บ้านยากจนในรัฐฉิ่น และให้ญาติช่วยดูแลลูกชายให้ เธอไม่ค่อยโทรศัพท์กลับไปที่บ้านและไม่เคยบ่นเรื่องงาน
ครอบครัวของเธอเริ่มเกิดความสงสัยตอนที่เธอติดต่อไปเมื่อเดือนกรกฎาคม หรือเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ก่อนเสียชีวิต ซึ่งเซียง ลัม มัน พี่สาวของเธอให้สัมภาษณ์ Al Jazeera ในสารคดีเมื่อปี 2559 ว่า ไป๋บอกว่าเธอไม่สบายและอยากกลับบ้านในเดือนสิงหาคม และขอให้พี่ชายช่วยไปรับที่ย่างกุ้งที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านของเธอราว 1,000 กิโลเมตร แต่กลับกลายเป็นว่า โพ เซียน มุง พี่ชายของไป๋ ที่ตอนนั้นมีอายุ 32 ปี ต้องเดินทางไกลไปถึงสิงคโปร์ เพื่อนำร่างของเธอกลับบ้านเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2559
มีคลิปที่เผยแพร่ใน YouTube ที่แสดงให้เห็นชาวเมียนมาหลายร้อยคน ไปยืนเรียงรายตามท้องถนนเพื่อรอรับโพ ที่เดินทางกลับมาพร้อมกับร่างของน้องสาว พวกเขาถือภาพของไป๋และร่ำไห้อย่างสุดกลั้นด้วยความเวทนา บางคนแตะหีบศพขณะที่บาทหลวงนำฝูงชนไปทำพิธี
แม้ว่ากระบวนการยุติธรรมจะทำหน้าที่ แต่ก็ใช้เวลาถึง 5 ปี นับตั้งแต่ไป๋เสียชีวิต มีการแสดงภาพการทรมานที่ชัดเจนในระหว่างการพิจารณาคดี ที่แสดงให้เห็นไป๋ที่ร่างกายผอมแห้ง ถูกกระชากผมและเขย่าเหมือนตุ๊กตาเก่า ๆ ไกยาธิรียังราดน้ำร้อนใส่ ตามด้วยการตบ ทุบ เตะ และกระทืบ ตอนที่ไป๋ร่วงลงไปนอนกองกับพื้น บางทีก็ใช้สิ่งที่อยู่ใกล้มือ เช่น ขวดพลาสติก ทัพพีโลหะ หรือกดเตารีดไอน้ำร้อน ๆ ไปที่แขน อาหารที่ไป๋ได้รับมักจะเป็นขนมปังหั่นบาง ๆ จุ่มกับน้ำ อาหารที่เย็นชืดจากตู้เย็นหรือข้าวที่เหลือตอนกลางคืน ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะเสียชีวิต เธอยังถูกเตะและกระทืบอีกหลายครั้ง ถูกกระชากผมจนสำลักหลายครั้ง
ผลการชันสูตรศพพบว่า ไป๋มีแผลที่เพิ่งเกิด 31 แห่ง และร่องรอยการบาดเจ็บภายนอกทั่วร่างกาย 47 แห่ง และการที่เธอสำลักซ้ำ ๆ ทำให้ขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมองนำไปสู่การเสียชีวิต และเรื่องนี้ได้สร้างความเสียหายให้ชื่อเสียงของสิงคโปร์อย่างยับเยิน จนต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการคุ้มครองแรงงาน เช่น การสุ่มไปตามบ้านนายจ้างโดยเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน และออกกฎใหม่ให้ผู้ช่วยแม่บ้านในสิงคโปร์ต้องมีวันหยุดอย่างน้อยเดือนละ 1 วัน แต่ไม่สามารถแลกเป็นเงินได้
นอกจากนี้ยังบังคับให้ส่งผู้ช่วยแม่บ้านไปเข้ารับการตรวจเช็กร่างกายโดยแพทย์ ที่รวมทั้งการตรวจดัชนีมวลกาย (body mass index) และดูว่ามีสิ่งต้องสงสัยเช่น อาการบาดเจ็บที่ไม่สามารถอธิบายได้หรือไม่ และห้ามนายจ้างเข้าดูการตรวจอย่างเด็ดขาด
แต่แม้จะเปลี่ยนแต่กลุ่ม NGOs ต่างยืนยันว่า "ยังคงมีคนที่ถูกล่วงละเมิด" โดยจากการเปิดสายด่วน hotline ช่วยแรงงานเมียนมา พบว่ามีคนโทรเข้าไปขอความช่วยเหลือทุกวัน บางคนบอกว่านายจ้างจัดอาหารให้ไม่พอ ถูกดุด่า หรือถูกนายจ้างกีดกันไม่ให้ไปหางานใหม่กับครอบครัวอื่น
ปัจจุบันมีบริษัทจัดหางานราว 140 แห่ง ที่ส่งผู้ช่วยแม่บ้านไปตามบ้านมากกว่า 21,000 หลัง แรงงานส่วนใหญ่มาจากกัมพูชา อินเดีย เมียนมา ศรีลังกา และไทย และปัจจุบันแรงงานเหล่านี้มีโอกาสเลือกที่จะทำงานพาร์ตไทม์ โดยไม่ต้องอยู่กับนายจ้าง เช่น งานทำความสะอาดค่าแรง 20-30 ดอลลาร์/ชั่วโมง