
คำถามที่ว่าอินเดียจะเป็นชาติมหาอำนาจได้หรือไม่ถูกจับตายิ่งขึ้น เมื่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน ปูพรมแดนต้อนรับนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ที่เยือนสหรัฐฯ แบบรัฐพิธีในสัปดาห์ที่แล้ว ยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคี ที่มุ่งคานอิทธิพลของจีนในเวทีโลก และเมื่ออินเดียที่เป็นทั้งเพื่อนบ้านและคู่แข่งของจีนเติบโตขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น ก็เป็นโอกาสมากขึ้นสำหรับการถ่วงดุลอำนาจในภูมิภาคที่ส่งผลดีต่อสหรัฐ
แม้อินเดียเติบโตและมีอิทธิพลมากขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีความจริงที่น่าขมขื่น 4 ข้อ ที่บ่งชี้ว่า อินเดียอาจยังไม่สามารถแซงจีนขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลกได้
ข้อแรก บทวิเคราะห์ในอดีตย้อนไปช่วงทศวรรษ 1990 มองว่า ประชากรวัยหนุ่มสาวในอินเดียจำนวนมหาศาลจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สามารถสร้าง “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ” และในปี 2006 รัฐมนตรีการค้าอินเดียในขณะนั้น คาดว่า เศรษฐกิจอินเดียจะแซงหน้าจีน ขณะที่เศรษฐกิจอินเดียเติบโตจริง แต่จนถึงขณะนี้การคาดการณ์เหล่านั้นยังไม่กลายเป็นจริง
ข้อที่สอง แม้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และติดใน 5 อันดับเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เศรษฐกิจอินเดียก็ยังมีขนาดเล็กกว่าจีน โดยในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ภาคการผลิต การส่งออก และจีดีพี ของจีน มีขนาดใหญ่กว่าอินเดีย 2-3 เท่า แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจจีนมีขนาดใหญ่กว่าอินเดียเกือบ 5 เท่า โดยจีนมีจีดีพี 17.7 ล้านล้านดอลลาร์ และอินเดียมีจีดีพี 3.2 ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ในรายชื่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่สุดในแง่รายได้ 20 อันดับแรกของโลก มีบริษัทจีนรวมอยู่ด้วย 4 ราย แต่ไม่มีบริษัทอินเดียติดอันดับดังกล่าว จีนยังสร้างโครงสร้างพื้นฐาน 5G เกินครึ่งหนึ่งของทั้งโลก แต่อินเดียครองสัดส่วนเพียง 1% นอกจากนี้ TikTok และแอปพลิเคชันคล้าย ๆ กัน ที่พัฒนาในจีน ล้วนเป็นผู้นำในตลาดโลก แต่อินเดียยังไม่อาจสร้างผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยีที่อยู่ในระดับชั้นนำของโลก
ส่วนเรื่องการผลิตปัญญาประดิษฐ์ (AI) จีนเป็นเพียงคู่แข่งรายเดียวของสหรัฐฯ และ AI ของบริษัท SenseTime ของจีน สามารถแซง GPT ของ OpenAI ของสหรัฐฯ ในแง่ประสิทธิภาพทางเทคนิคเมื่อเร็ว ๆ นี้ ขณะที่อินเดียยังไม่ได้เข้าสู่การแข่งขันในสนามนี้ จีนยังถือครองสิทธิบัตร AI มากถึง 65% ของทั้งโลก ขณะที่อินเดียมีเพียง 3% บริษัท AI ของจีน มีเงินลงทุนจากเอกชนมากถึง 95,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2013-2022 ขณะที่บริษัท AI ของอินเดียมีเม็ดเงินลงทุนเพียง 7,000 ล้านดอลลาร์ และนักวิจัยด้าน AI ระดับชั้นนำส่วนใหญ่อยู่ในจีน สหรัฐ และยุโรป ส่วนอินเดียยังรั้งท้าย
ในปี 1980 ประชากร 90% จากทั้งหมด 1,000 ล้านคนในจีนอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ความยากจนของธนาคารโลก แต่ปัจจุบันจำนวนนี้อยู่ในระดับเกือบศูนย์ ขณะที่ประชากรอินเดียมากกว่า 10% จากทั้งหมดกว่า 1,400 ล้านคนในเวลานี้ ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าเส้นความยากจนขั้นรุนแรงของธนาคารโลก ซึ่งหมายถึงมีรายได้ 2.15 ดอลลาร์ต่อวัน และประชากร 16.3% ในอินเดีย มีภาวะขาดสารอาหารในช่วงปี 2019-2021 เมื่อเทียบกับจำนวนไม่ถึง 2.5% ของประชากรจีน
แม้อินเดียยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะเติบโตอย่างที่จีนทำให้โลกประจักษ์มาแล้ว แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เวลานี้อินเดียกำลังมาแรง ที่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่กำลังวิ่งเข้าหา รวมถึง เทสลา ที่ตั้งเป้าจะเข้าไปลงทุนในเร็ว ๆ นี้ และอินเดียพยายามสร้างจุดขายว่าเป็นตัวเลือกแทนจีนในแง่ศูนย์กลางการผลิตของโลก