ทอม แอนดรูวส์ ผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติ แถลงเมื่อวันพุธ (17 พ.ค.)ว่า จากรายงานเบื้องต้นที่ได้รับพบว่า มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคนจากพายุไซโคลน “โมคา” พัดถล่มรัฐยะไข่ของเมียนมาเมื่อวันอาทิตย์ โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้อพยพและไม่สามารถหนีไปไหนได้ และเต็นท์ที่พักอาศัยพังราบ จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วน โดยประชาชนราว 5.4 ล้านคนอยู่ในเส้นทางที่พายุพัดปกคลุม ซึ่งอย่างน้อย 3 ล้านคนควรได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และความช่วยเหลือฉุกเฉิน สืบเนื่องจากผลกระทบโดยตรงจากพายุ
นอกจากนี้สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) กำลังเจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมาเพื่อให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยพายุ ซึ่งรวมถึงค่ายผู้พลัดถิ่นชาวโรฮิงญา
ขณะที่หนังสือพิมพ์โกลบอล นิว ไลท์ ออฟ เมียนมาร์ของทางการเมียนมารายงานว่า การบรรเทาทุกข์และการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยต้องดำเนินการภายใต้โครงสร้างความร่วมมือที่มีอยู่ และระบุว่า ข้าวสารหลายร้อยถุงได้รับการลำเลียงทางอากาศไปยังเมืองซิตตเว เมืองเอกของรัฐยะไข่แล้ว และเรือของกองทัพเรือลำเลียงข้าวสาร อุปกรณ์สื่อสาร และสิ่งของช่วยเหลืออื่น ๆ ไปรัฐยะไข่เช่นกัน
ส่วนรายงานผู้เสียชีวิตจากพายุครั้งนี้ยังคงมีตัวเลขแตกต่างกัน โดยสำนักข่าวเอเอฟพี รายงานอ้างตัวเลขจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 81 รายทั่วเมียนมา ขณะที่เว็บไซต์อิรวดี รายงานว่า พายุโมคาที่พัดขึ้นฝั่งในรัฐยะไข่ เคลื่อนตัวปกคลุมในรัฐชิน และเขตซะไกง์ และเขตมะกเว และจำนวนผู้เสียชีวิตจนถึงวันพุธเพิ่มเป็น 202 ราย
นอกจากนี้อิรวดี รายงานว่า ชาวบ้านในรัฐยะไข่กำลังซ่อมแซมบ้านเรือนที่พังเสียหาย และเผชิญกับราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น เช่น ราคาแผ่นหลังคาอลูมิเนียม และแผ่นหลังคาเหล็กพุ่งสูงขึ้น 5 เท่า นอกจากนี้ชาวบ้านต้องเข้าแถวรอรับแจกข้าวและน้ำดื่มโดยองค์กรภาคประชาสังคมและโครงการอาหารโลก
เมียนมาเคยประสบความสูญเสียครั้งร้ายแรงจากพายุไซโคลน “นาร์กิส” พัดถล่มในปี 2561 ที่คร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อย 138,000 ราย และรัฐบาลทหารในขณะนั้นถูกวิจารณ์อย่างหนักจากการปิดกั้นความช่วยเหลือฉุกเฉินจากนานาชาติในช่วงแรก ที่ไม่ยอมให้บุคลากรด้านมนุษยธรรมเข้าไปในพื้นที่ประสบภัย ก่อนยอมรับความช่วยเหลือในที่สุด