สู้รบซูดานครบ 1 เดือนไร้แววยุติ หลังเสียชีวิตกว่า 750 ราย

กรุงคาร์ทูม เมืองหลวงที่มีประชากรราว 5 ล้านคนในซูดาน ที่เคยสงบเงียบ มีเสถียรภาพ และความมั่งคั่ง กลับกลายเป็นสมรภูมิรบจากการต่อสู้ระหว่างกองทัพ และกองกำลัง Rapid Support Forces (RSF) ที่ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 15 เม.ย. การโจมตีทั้งทางอากาศ และการยิงต่อสู้ด้วยปืนใหญ่และจรวดอย่างหนักตลอดหนึ่งเดือน ทำให้เครื่องบินหลายลำในสนามบินหลักถูกเผาเสียหาย สถานทูตต่างชาติได้รับความเสียหาย โรงพยาบาล ธนาคาร ร้านค้า และโกดังถูกปล้นสะดม แต่ก็ยังไม่มีฝ่ายใดยึดพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ได้

นอกจากนี้ยังมีการสู้รบอย่างหนักหน่วงในเมืองใกล้เคียง ได้แก่ เมืองบาห์รี และออมดูร์มาน และยังลามไปถึงแคว้นดาร์ฟูร์ทางภาคตะวันตก 

ข้อมูลจาก Armed Conflict Location and Event Data Project ระบุว่า การสู้รบทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 750 ราย ผู้บาดเจ็บอีกหลายพันคน และประชาชนอีกเกือบ 1 ล้านคนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน ซึ่งกว่า 200,000 คนในจำนวนดังกล่าว ข้ามพรมแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ อียิปต์ เอธิโอเชีย ชาด และซูดานใต้ ทำให้วิตกว่าวิกฤตด้านมนุษยธรรมอาจลุกลามจนเกินควบคุมได้ 
เมืองพอร์ตซูดาน ที่อยู่ห่างจากกรุงคาร์ทูมราว 800 กม. กลายเป็นศูน์กลางสำหรับการอพยพของชาวซูดานและชาวต่างชาติ

แม้ในช่วงหนึ่งเดือนมีการตกลงหยุดยิงหลายครั้งจากความพยายามไกล่เกลี่ยของนานาชาติ แต่กองกำลังทหารทั้งสองฝ่ายก็ละเมิดข้อตกลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ความหวังริบหรี่ที่จะสามารถยุติการสู้รบได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งซ้ำเติมความทุกข์ยากแก่ประชาชน 45 ล้านคนทั่วประเทศ ขณะนี้ประชาชนในพื้นที่สู้รบกำลังขาดแคลนอาหารและสิ่งของจำเป็น ไฟฟ้าดับ การสื่อสารถูกตัดขาด และเงินเฟ้อพุ่งสูง

หลายฝ่ายมองว่า กองทัพภายใต้การนำของพลเอกอับเดล ฟัตตาห์ อัล-บูร์ฮาน และกองกำลัง RSF ภายใต้การนำของพลเอก โมฮาเหม็ด ฮัมดาน ดาโกล ต่างเชื่อว่า จะสามารถชนะฝ่ายตรงข้ามได้ จึงยังไม่สามารถมีการเจรจาสันติภาพที่นำไปสู่การบรรลุข้อตกลงทางการเมืองเพื่อยุติความขัดแย้งครั้งนี้

ซูดานอยู่ในช่วงของกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่การถ่ายโอนอำนาจแก่พลเรือน หลังกองทัพก่อรัฐประหารโค่นล้มอดีตประธานาธิบดีโอมาร์ อัล-บาชีร์ในปี 2562 แต่กองทัพและ RSF มีความเห็นขัดแย้งกันในประเด็นการยุบกองกำลัง RSF เพื่อให้รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ

และหลังจากผู้แทนของสองฝ่ายยอมเข้าร่วมการเจรจาที่นครเจดดาห์ของซาอุดิอาระเบียนานหนึ่งสัปดาห์ ก็สามารถเห็นพ้องร่วมกันในวันที่ 12 พ.ค.ว่า จะให้ความคุ้มครองแก่พลเรือนและภารกิจการบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรม และหาทางตกลงหยุดยิงช่วงสั้น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการฟื้นฟูบริการสาธารณะที่จำเป็น แต่หนทางยังอีกยาวไกลที่จะเปลี่ยนจากการหยุดยิงสั้น ๆ เป็นการยุติความขัดแย้งอย่างถาวร ส่วนการเจรจารอบสองเริ่มเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ขณะที่การสู้รบยังคงไม่เบาบางลง