
ส่วนต้นตอการระบาดของโควิด ที่เดิมที คาดว่า อาจมาจากสัตว์เป็นตัวนำเชื้อมาสู่มนุษย์ ข้อสันนิษฐานในเรื่องนี้ มีอันตกไป เพราะหลักฐานไม่ชัดเจน
ก่อนหน้านี้ บรรดานักวิทยาศาสตร์และข่าวกรองของสหรัฐ ยังคงเห็นขัดแย้งกันว่า โควิดมีต้นตอมาจากห้องทดลองสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น ซึ่งเก็บตัวอย่างไวรัสมาจากค้างคาว หรือ มาจากการแพร่ลามทางธรรมชาติที่ตลาดขายสัตว์เป็นๆ ในเมืองอู่ฮั่น ของจีน
แต่รายงานชุดนี้ ก็สรุปว่า ไม่พบความผิดปกติระหว่างเชื้อโควิดกับเชื้ออื่นๆ ที่แพร่ลามทางธรรมชาติจากสัตว์สู่มนุษย์ และในช่วงสามปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ประเด็นนี้อย่างชัดเจน ส่วนข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ ว่า ต้นตอเชื้อไวรัสโควิดอาจแพร่ลามในหลายพื้นที่และหลายช่วงเวลา ก็มีอันตกไปเช่นกัน
รายงานยังระบุว่า ค้างคาวสายพันธุ์ที่มีไวรัสใกล้เคียงกับโควิดที่สุด ก็เป็นค้างคาวสายพันธุ์ที่อยู่ห่างไกลจากเมืองอู่ฮั่นไปกว่า 1,600 กิโลเมตร
แต่ที่รายงานสรุปว่า เชื้อแพร่มาจากห้องทดลองเมืองอู่ฮั่น เพราะสถานที่นี้ มีตัวอย่างเชื้อไวรัสโคโรนา เก็บไว้มากถึง 200 ตัวอย่าง ทั้งยังมีภาพถ่ายแสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ห้องทดลองจับค้างคาวโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมเพียงพอ ซึ่งทั้งหมดก็ทำไปเพื่อพุ่งเป้าไปยังการป้องกันโรคระบาดในอนาคต และเพื่อหาทุนวิจัยเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มเติม
สาเหตุเพิ่มเติมที่สรุปว่า ต้นตอการระบาดมาจากการรั่วไหลของห้องทดลองนี้ ก็เพราะพบการระบาดอย่างรวดเร็วในเมืองอู่ฮั่นของจีน จนเกิดการร้องขอความช่วยเหลือเป็นครั้งแรกๆ ตรงจุดที่อยู่ใกล้กับสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น
การรั่วไหลอาจเกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ ความล้มเหลวของอุปกรณ์ต่างๆ ถูกสัตว์กัด มีสัตว์บางตัวเล็ดรอดออกมา เจ้าหน้าที่ได้รับการฝึกไม่พอ ทุนที่ให้ไม่พอ และแรงกดดันจากการทำผลวิจัย ซึ่งทั้งหมดนี้อาจโน้มนำไปสู่การรั่วไหลของเชื้ออย่างรุนแรง แล้วก็พบว่า มีสัตว์และมนุษย์ได้รับเชื้อ และเมื่อพวกเขาออกจากห้องแล็บ ก็เป็นตัวการพาเชื้อรั่วไหลออกมาภายนอกในที่สุด
เมื่อเดือนที่แล้ว ( มีนาคม ) ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ หรือ เอฟบีไอ ก็ได้กล่าวว่า มีความเป็นไปได้มากที่โควิดจะรั่วมาจากห้องทดลองในอู่ฮั่น ด้านกระทรวงพลังงานของสหรัฐ ก็สรุปเช่นกันว่า การรั่วไหลจากห้องทดลองมีความเป็นไปได้มากที่สุด ขณะที่สำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐ หรือ ซีไอเอ ยังลังเลว่า รั่วไหลมาจากห้องทดลอง หรือมาจากการแพร่ลามตามธรรมชาติกันแน่