เมียนมากลายเป็นรัฐล้มเหลว และวิกฤตินี้ดูท่าจะเลวร้ายหนักขึ้น จากคำเตือนของผู้เขียนรายงานการประชุมพิเศษแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเฝ้าสังเกตสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศพม่า โดยอ้างว่า รัฐบาลทหารเมียนมาได้อาวุธจากรัสเซีย นับจากก่อรัฐประหารเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะเครื่องบินที่ได้มาจากจีนและรัสเซีย ซึ่งถูกรัฐบาลทหารนำไปใช้โจมตีกองกำลังที่ต่อต้าน
รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา จะถูกส่งมอบให้สภาสิทธิมนุษยชนในสัปดาห์หน้า ระบุข้อมูลว่า ชาวบ้านที่พยายามหนีออกจากเมียนมา อาจเสี่ยงต่อการถูกจับ คุมขัง เนรเทศ รวมถึงการขัดขวางไม่ให้พวกเขาได้เข้าถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
เมียนมาตกอยู่ภายใต้ความโกลาหล เมื่อต้นปี 2021 เมื่อกองทัพได้ควบคุมตัวนางอองซาน ซูจี ผู้นำประเทศ และยึดอำนาจ ท่ามกลางเสียงต่อต้านจากทั้งกลุ่มพลเรือนที่ใช้วิธีอารยะขัดขืน และกองกำลังติดอาวุธ ความขัดแย้งจึงแพร่ลามไปทั่วประเทศตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งพื้นที่ที่เคยสงบสุข ก็มีกลุ่มพลเรือนเข้าร่วมกับกลุ่มติดอาวุธ ต่อสู้กับกองทัพเมียนมา
นักวิเคราะห์บอกว่า แม้กองทัพจะมีอาวุธเหนือกว่า แต่ก็กำลังสูญเสียพื้นที่เพราะกระแสต่อต้านมีมากขึ้น ส่งผลให้ต้องใช้เครื่องบินโจมตีทางอากาศมากขึ้น พุ่งเป้าไปที่โรงเรียนและสถานพยาบาล รวมถึงการทำลายทุกอย่างบนภาคพื้นดิน เพื่อหยุดการต่อต้านให้ได้ แต่กองทัพเมียนมาออกมาปฏิเสธว่าเป็นการโจมตีผู้ก่อการร้ายต่างหาก
รายงานยังระบุ รัสเซีย จีน และเซอร์เบีย จัดหาอาวุธให้รัฐบาลทหารเมียนมา โดยในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2022 กองทัพเมียนมาโจมตีทางอากาศหน่วยบริหารกิจการประเทศไปแล้ว 10 หน่วย จากทั้งหมด 14 หน่วยในประเทศ และโจมตีเกือบทุกวัน
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านก็ถูกบีบให้ส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวเมียนมากลับประเทศ ซึ่งก็รวมถึงผู้ที่หนีทหารและเด็ก ทั้งที่เมื่อพวกเขากลับไป ก็เสี่ยงกับการถูกคุมขัง ทรมาน หรือประหารชีวิต รายงานเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ผ่านมติ ยื่นเรื่องเมียนมาไปสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ
สหประชาชาติระบุว่า ตัวเลขชาวบ้านในเมียนมาที่จำเป็นต้องรับความช่วยเหลือ เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านคนในช่วงก่อนรัฐประหาร เป็น 17.6 ล้านคน ในปี 2023 ประชากรครึ่งหนึ่งกลายเป็นคนยากจน เด็กๆ หลายล้านไม่มีโอกาสรับการศึกษา ระบบสาธารณสุขพังทลาย