
น.ส. รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ Nation Online ว่า ค่าเงินบาทสัปดาห์หน้ากรอบการเคลื่อน ไหว 34.35-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ติดตามข้อมูลเงินเฟ้อเดือนก.ค.ของสหรัฐฯ รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ ส่วนในประเทศจะมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ค. เช่นกัน
สำหรับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 187,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 200,000 ตำแหน่ง และเงินเฟ้อสหรัฐฯชะลอลงต่อเนื่อง คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว แต่จะตรึงไว้ที่ระดับสูงจนถึงกลางปี 67
ส่วนท่าทีล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือกนง. แม้ยังแสดงความกังวลด้านเงินเฟ้อในระยะถัดไป แต่ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลในไทย อาจส่งผลให้กนง.จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยที่ 2.25%
สำหรับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาคในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ค.) พบว่า หยวน-จีนอ่อนค่ามากสุด 3.92% รองลงมาเป็นวอน-เกาหลีใต้ 3.30% ริงกิต-มาเลเซีย 3.17% ดอลลาร์-ไต้หวัน 3.12% ดอง-เวียดนาม 0.48% บาท-ไทย 0.43% ดอลลาร์-สิงค โปร์ 0.16% รูปี-อินเดีย 0.05% ยกเว้น รูเปียห์-อินโดนีเซียแข็ง 2.58% เปโซ-ฟิลิปปินส์แข็ง 0.03%
โดยเงินสกุลเงินภูมิภาคส่วนใหญ่อ่อนค่าลงในปีนี้ นำโดยเงินหยวนของจีน ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย 0.43% ขณะที่ต้นปีต่างชาติขายหุ้นไทย 1.25 แสนล้านบาท และขายพันธบัตรสุทธิ 7.8 หมื่นล้านบาท โดยมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดย นักลงทุนต่างชาติ ครบอายุ 1.16 แสนล้านบาท
ส่วนการเลื่อนโหวตนายกฯเพิ่มความเสี่ยงด้านสุญญากาศทางการเมืองที่อาจยืดเยื้อ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติลดพอร์ตการถือครองสินทรัพย์สกุลเงินบาท จนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยกับ Nation Online ว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมือง อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติยังไม่กล้ากลับมาเปิดรับความเสี่ยงสินทรัพย์มากนักในระยะสั้น
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ บรรยากาศในตลาดการเงินโลกก็ถูกกดดันจากประเด็นสหรัฐฯ ถูกปรับลดเครดิตเรทติ้ง (ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็หนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมาด้วย) ทำให้มองว่า ค่าเงินบาทก็จะยังไม่มีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจนเป็นเทรนด์ จนกว่าปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าดังกล่าวจะคลี่คลายลง โดยมองกรอบเงินบาทสัปดาห์หน้าอยู่ที่ 34.25 - 34.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับปัจจัยการเมืองไทยยังมีความไม่แน่นอนสูงและสถานการณ์สามารถพลิกกลับไปมาได้รวดเร็ว คาดว่าการเมืองอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทมีโอกาสผันผวนสูงในระยะสั้นนี้ได้เช่นกัน ผ่านความผันผวนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ จนกว่าจะเห็นความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
อย่างไรก็ดี ในส่วนของเฟดนั้น หากเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้จริง อาจต้องเห็นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่ได้ชะลอลงมากนัก ซึ่งประเมินว่า มีโอกาสเกิดภาพดังกล่าวไม่มาก
ส่วนในฝั่งของไทย คาดว่า กนง. อาจรอจับตาผลการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ รวมถึงรอประเมินผลกระทบเศรษฐกิจและเงิน เฟ้อจากนโยบายของรัฐบาลใหม่
ซึ่งหาก กนง. กังวลว่า นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่อาจยิ่งหนุนให้แนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นสูงกว่าคาดการณ์ อาจทำให้กนง.อาจขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 0.25% สู่ระดับ 2.50% ได้ ซึ่งคาดว่าอาจเป็นจุดสูงสุดของดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้
โดยให้โอกาสเกิดกรณีดังกล่าว 45% จนกว่าจะเห็นการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงตลาดผันผวนผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าควรป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบค่าเงิน
ทั้งนี้มองว่าเงินบาทยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวไปตามทิศทางของทั้งเงินดอลลาร์ ราคาทองคำ รวมถึงทิศทางค่าเงินฝั่งเอเชีย ทั้งเงินหยวนจีนและเงินเยนญี่ปุ่น (จับตาทิศทาง JPYTHB)โดยตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ รวมถึงรายงานผลประกอลการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
สำหรับปัจจัยในประเทศ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินโอกาสในการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อของธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI
ฝั่งสหรัฐฯ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม
ส่วนยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะจับตาแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงาน GDP ไตรมาสที่ 2 ซึ่งอาจช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษได้
ทางเอเชีย ตลาดจะรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของจีน ซึ่งคาดว่าอาจปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หนุนโอกาสที่ทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม พร้อมกับการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น
ขณะที่ไทย สถานการณ์การเมืองไทยยังคงเป็นปัจจัยที่ควรติดตามใกล้ชิด นอกจากนี้ ตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจช่วยประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยได้เช่นกัน รวมถึงรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ