เสียงตอบรับจากนักลงทุนไทยและต่างชาติท่วมท้ม หลังจากที่ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณประกาศยุบสภาภายในเดือน มี.ค.66 พร้อมกำหนดกรอบเวลาเลือกตั้ง เป็นไปตามที่คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศไว้เป็นวันที่ 7 พ.ค.66 นี้ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยกันอีกครั้ง
โดยทันทีที่นายกรัฐประกาศเรื่องดังกล่าวตลาดหุ้นไทยพลิกจากติดลบกลับมาเป็นบวก 10.94 จุด หรือ 0.66% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 66,040.26 ล้านบาท สวนทางกับตลาดอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ติดลบ สะท้อนถึงแรงเก็งกำไรที่มีกลับเข้ามาจากปัจจัยการเมืองในประเทศที่มีความชัดเจนมากขึ้น
ซึ่งก่อนที่ก้าวย่างถึงการประกาศยุบสภา เพื่อนับหนึ่งเปิดสนามการเลือกตั้งครั้งใหม่อย่างเป็นทางการ เนชั่นออนไลน์ ได้มีโอกาสรวบรวมข้อมูลผลการศึกษาของบริษัทหลักทรัพย์เกี่ยวกับทิศทางตลาดหุ้นไทยก่อนการเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้งว่า จะเป็นอย่างไรมาไว้เป็นข้อมูลเตรียมความพร้อมการตัดสินใจการลงทุน
เริ่มจาก บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ที่ระบุว่า ความชัดเจนในการยุบสภาฯสร้างสีสันให้ Election Play หรือหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้ง โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินที่ใช้ในการหาเสียงและจัดเลือกตั้งไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 6-7 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 0.3-0.4% ของ GDP ถือเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคและช่วยจำกัด Downside ให้กับ GDP ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล
โดยอิงสมมติฐานจาก 1. งบประมาณจัดเลือกตั้งของ กกต.ได้รับจัดสรรในครั้งนี้ 5.9 พันล้านบาท สูงกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อน (24 มี.ค. 2562) ราว 40% เนื่องจากมีจำนวนเขตเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเป็น 400 เขต จาก 350 เขต และมีการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ พร้อมกับมีกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง 9 คน จากเดิม 5คน
2.กกต. กำหนดงบประมาณในการหาเสียงกรณีมีการยุบสภาฯให้ ส.ส. เขตใช้งบได้คนละ 1.7 ล้านบาท และ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคละ 40.6 ล้านบาท ซึ่งการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ที่การแข่งขันไม่รุนแรงเท่าครั้งนี้ พรรคการเมืองมีการใช้งบหาเสียงรวมกัน 859 ล้านบาท 3.อิงจากการเลือกตั้งในอดีต ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินเม็ดเงินสะพัดในระดับเศรษฐกิจเฉลี่ยครั้งละ 4-5หมื่นล้านบาท
"เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจช่วงที่มีการเลือกตั้งรอบนี้จะสูงเป็นประวัติการณ์ เพราะเป็นการแข่งขันของพรรคการเมืองใหญ่ เพื่อต้องการให้ได้ ส.ส.มากในระดับที่มีนัยสำคัญ โดยไม่ต้องกังวลเสียงโหวตเลือกนายกฯของ ส.ว."
อย่างไรก็ดี สถิติการตอบรับของตลาดหุ้นไทยต่อการยุบสภาฯในอดีต อาจใช้ไม่ได้กับปัจจุบัน เพราะรอบนี้ เป็นการยุบสภาฯโดยไม่มีแรงกดดันทางการเมือง และวันเลือกตั้งไม่ต่างจากที่ กกต. กำหนดอย่างมีนัยสำคัญ จึงคาดว่า SET INDEX จะตอบรับในระดับกล่าวกลางๆ ในวันยุบสภาฯ ซึ่งคาดว่าเป็นต้นเดือน มี.ค.
ขณะที่สถิติในช่วงเลือกตั้งค่อนข้างชัดว่า SET INDEX จะ Outperform ภูมิภาค (MSCI Asia ex. Japan) ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้ง +2.1% และ 1 เดือนหลังเลือกตั้ง +5.1% จึงมีโอกาสหนุนให้ SET INDEX ขึ้นไปอยู่ในกรอบ 1,750-1,800 จุดในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ส่วนกระแสเงินทุนต่างชาติมักกลับเข้ามาซื้อสุทธิหลังทราบผลการเลือกตั้ง แต่กองทุนในประเทศจะเป็นฝ่ายซื้อสุทธิก่อนเลือกตั้ง โดยมีค่าเฉลี่ยช่วง 2 เดือนก่อนเลือกตั้งอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท
สำหรับกลุ่มที่เราคาดว่าจะเคลื่อนไหวเด่นเมื่อการเลือกตั้งมีความชัดเจนคือ ธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก อสังหาริม ทรัพย์ อาหารเครื่องดื่ม ไฟแนนซ์และรับเหมาก่อสร้าง เพราะเป็นกลุ่มที่ Outperform ในเชิงสถิติ และได้ประโยชน์จากเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้น
หุ้นเด่นในแต่ละกลุ่ม เช่น CPALL, MAKRO, BJC, KBANK, BBL, SCB, OSP, CBG, SAWAD ส่วนหุ้นที่เชื่อมโยงการเมืองตามความคาดหวังของตลาดจากการสังเกตพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเช่น SC, SIRI,PR9, PRIME,PTG, AMA, STEC, STPI, STI ก็เป็นไปได้เช่นกัน ที่จะเห็นแรงเก็งกำไรกลับเข้ามาเป็นระยะ รวมถึง TKS ที่มักจะได้ประโยชน์จากการ พิมพ์บัตรเลือกตั้งด้วย
ขณะที่บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ผลการศึกษาผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยช่วงก่อนและหลัง วันเลือกตั้งที่ดีที่สุดในปี 2544 – 2562 พบว่า ดัชนีหุ้นไทยมักให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งเฉลี่ย 3.90%
นอกจากนี้ หากมาดู Timeline การยุบสภา ตลาดคาดว่าไม่เกิน 15 มี.ค. 66 นี้ เนื่องจากการจัดการเลือกตั้งต้องอยู่ภายใน 45 วัน ไม่เกิน 60 วันหลังยุบสภา ถือว่าอยู่ ในกรอบใกล้เคียงกับวันเลือกตั้งเดิมที่ กำหนดไว้ที่ 7 พ.ค. 66 ทำให้การเลือกตั้งไม่ได้เกิดเร็วขึ้นจากช่วงเวลาเดิมที่กำหนดไว้ อีกทั้งช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านไปสู่การจัดตั้ง รัฐบาลใหม่มีโอกาสกินระยะเวลาไปถึงเดือน ส.ค. 66 จึงจะแล้วเสร็จ กระแสยุบสภาจึงถือว่าไม่ได้เป็นประเด็นใหม่ที่เข้ามาหนุนตลาดหุ้นมากนัก
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยทำการคัดกรองหุ้นที่จะปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่มีกระแสเลือกตั้งในช่วง 3 เดือน ก่อนการเลือกตั้ง 5 อันดับแรก ได้แก่ ไอซีที 9.4%, สื่อและสิ่งพิมพ์ 7.8% พาณิชย์ 6.4%, อาหารและเครื่องดื่ม 5.5%, เงินทุนและหลักทรัพย์ 5.2% และหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้แรง คือ PLANB, STPI, THCOM, BBL, SC, TKS, SIRI, CENTEL, AP, ADVANC, NWR, MINT, MAKRO, STEC, SCC, INTUCH, BEC, CPALL และ AMATA
นอกจากนี้กระแสการเลือกตั้งตลาดหุ้นไทยน่าจะตอบรับมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่น่าจะยังพอ เก็งกำไรได้อีกในช่วงสั้นๆ แนะนำหุ้นธีมเลือกตั้งราคา Laggard ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหรือใกล้เคียงตลาด (ytd) น่าเก็งกำไร อย่าง SCC, CPALL, BEC, AMATA, STEC และ MAKRO เป็นต้น
ด้านบล.กสิกรไทย ระบุว่า การประกาศเปิดไทม์ไลน์ยุบสภาและเลือกตั้ง เป็นเหตุการณ์ที่ปกติ เพราะระยะเวลาการยุบสภาเกิดขึ้นใกล้กับระยะเวลาที่รัฐบาลจะครบวาระ ดังนั้นจึงเห็น downside ที่จำกัดต่อ SET Index ในเวลานี้ มีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5.4% ในช่วง 3 เดือนก่อนเลือกตั้งกลุ่มที่ได้ประโยชน์หลักคือกลุ่มการเงิน, ICT, สื่อ และพาณิชย์
หุ้นเด่นในธีมเลือกตั้ง เช่น AEONTS ,ADVANC ,STEC,OSP และ CPALL โดยอิงจาก : ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง, มีโมเมนตัมกำไรที่แข็งแกร่งในปี 2566, Upside ต่อราคาเป้าหมายมากกว่า 5% อย่างไรก็ตาม ในอดีต SET Index เคยปรับลดลง 1.5% ในช่วง 1 เดือน หลังยุบสภาจากอำนาจที่จำกัดของรัฐบาลรักษาการ และความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับรัฐบาลชุดใหม่ และนโยบายในการบริหารประเทศ
ฟาก "บล.ฟินันเซียไซรัส" มองว่า กลุ่มที่คาดว่าได้อานิสงส์เชิงบวกจากการเลือกตั้งคือ Domestic Play เช่น ค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม สื่อสาร บันเทิง เช่น CPALL, MAKRO, BJC, OSP ,CBG ,NSL, M ,CENTEL, ADVANC, PLANB ,VGI ,TKS รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองจะมีแรงเก็งกำไรคึกคัก เช่น SC, SIRI ,PR9 ,STEC, STPI เป็นต้น
ฝั่ง"บล.โกลเบล็ก" ระบุว่าหุ้นได้รับผลบวกเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง คือ TKS, IRI, PR9, SC, STEC
ปิดท้ายที่ "บล.กรุงศรี" มองว่า หากอิงจากสถิติการเลือกตั้งของไทยในอดีตทั้งหมด 8 ครั้งนับตั้งแต่ปี 35 พบว่า SET Index ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 4% ในช่วง 3 เดือนก่อนเลือกตั้งและให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3% หลังการเลือกตั้ง 1 เดือน และช่วงเวลาที่เกือบทุก Sector ให้ผลตอบแทนเป็นบวกคือช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ โดยหุ้นที่อิงกระแสการเลือกตั้งของไทย เช่น SIRI, PR9 ,SC , STEC,TKS
แม้ว่าจากข้อมูลสถิติของเหล่าบรรดาโบรกเกอร์สะท้อนภาพให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยในอดีตที่ผ่านมาตอบรับการเลือกตั้งได้ดี และหุ้น outperform มีอะไรบ้าง แต่สถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ดังนั้นนักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเข้าไปลงทุน พร้อมปรับกลยุทธ์ให้ทันกับภาวะตลาดที่พร้อมจะเกิดความผันผวนและกลับทิศทางได้ทุกขณะ ไม่แพ้ความเป็นไปทางการเมืองที่พร้อมจะพลิกคว่ำพลิกหงายได้ตลอดเวลาเช่นกัน...