ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ระบุ คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2566 จะขยายตัว 1% หดตัวลดลงเป็นปีที่ 3 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่างติดลบ 0.5-1.5% มีมูลค่า 2.95 แสนล้านดอลลาร์ มีปัจจัยเสี่ยงมาจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัวยกเว้นเศรษฐกิจจีนขยายตัว 4.4% แต่โควิดยังเป็นปัจจัยสำคัญ ยุโรป สหรัฐฯ มีความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อทำให้เศรษฐกิจโลกปีนี้โตลดลงติดลบ 0.4 ถึง -1% ทำให้การส่งออกของไทยหายไปลบ 0.7 ถึง -1.7%
ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับที่สูง จากความต้องการน้ำมันของจีนเพิ่มขึ้นเมื่อเปิดประเทศ อัตราเงินเฟ้อ ปี 2566 มีแนวโน้มลดลงจากปี 2565 แต่ยังอยู่ในระดับสูง ราคาวัตถุดิบและสินค้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอัตราที่ลดลง ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และการแยกห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมจากความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ
ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตาม หลังจากการผ่อนคลายนโยบาย ZERO COVID ของจีนจะสามารถควบคุมการระบาดโควิดได้ดีแค่ไหน หากไม่มีการระบาดมูลค่าการส่งออกไทยไปจีนจะอยู่ที่ 3.3-4.1 หมื่นล้านบาท หากมีการระบาดแต่การควบคุมมีประสิทธิภาพและยังเปิดประเทศ มูลค่าการส่งออกไปจีนจะอยู่ที่ 2.4-3.3 หมื่นล้านบาท และกรณีแย่ที่สุดการควบคุมโควิดไม่มีประสิทธิภาพและปิดประเทศอีกครั้ง การส่งออกไปจีนจะติดลบเหลือมูลค่า 4.8 พันล้านบาท - 2.4 หมื่นล้านบาท รวมถึงปัจจัยค่าเงินบาทยังคงอ่อนกว่าปี 2565 แต่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
สำหรับปัจจัยการเมืองภายในประเทศ จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติ ที่ยังรอความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจที่อาจจะเปลี่ยนไปหากเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งต้องติดตามเป็นพิเศษ ไม่แพ้กับปัจจัยของเศรษฐกิจโลกที่เกิดภาวะถดถอย ต้องติดตามว่าทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของไทยจะเป็นอย่างไร ความเป็นอยู่ของประชาชน การจ้างงาน ธุรกิจ การลงทุน จะขับเคลื่อนอย่างไร ขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งในปีนี้