น.ส. รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ Nation Online ถึงทิศทางค่าเงินบาทหลังปีใหม่ 2566 ว่า เคลื่อน ไหวในกรอบ 34.15-34.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
เกาะติดข้อมูลเศรษฐกิจเดือน ธ.ค. ของสหรัฐฯ นำโดย ดัชนี ISM ของการผลิตและบริการ รายงานประชุมเฟด และการจ้างงานนอกภาคเษตร (คาด +2 แสนตำแหน่ง)
การเปิดประเทศของจีนและแนวทางการจัดการระบบสาธารณสุขของประเทศปลายทางของนักท่องเที่ยวจีน กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย และตัวเลขเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ของไทย
ส่วนการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาค 4 ม.ค.-30 ธ.ค. พบว่า รูปี-อินเดียอ่อนค่ามากสุด 10.23% รองลงมาคือ ดอลลาร์-ไต้หวัน 9.88% หยวน-จีน 8.66% รูเปียห์-อินโดนีเซีย 8.56%
เปโซ-ฟิลิปปินส์ 8.50% วอน-เกาหลีใต้ 6.05 % ริงกิต-มาเลเซีย 5.61% บาท-ไทย 3.33% ดอง-เวียดนาม 3.26% ยกเว้น ดอลลาร์-สิงคโปร์แข็งค่า 0.28%
สำหรับเงินบาทอ่อนราว 3% ในปีนี้ ลดช่วงลบจากการอ่อนค่ามากถึง 15% เมื่อช่วงเดือน ก.ย.65 และ ต.ค.65
โดยนับตั้งแต่เกิดเหตุรัสเซียรุกรานยูเครน และ จีนล็อคดาวน์ ทำให้เงินเฟ้อโลกพุ่งขึ้นธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) เร่งขึ้นดอกเบี้ย ดอลลาร์แข็งค่าเทียบเกือบทุกสกุลเงิน ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงติดต่อกันเป็นปีที่ 2
อย่างไรก็ดี หลังจากเดือน พ.ย. เป็นต้นมา เงินเฟ้อสหรัฐฯลดความร้อนแรงลงบ้าง และเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในขนาดที่ลดลง หลังจากขึ้น 0.75% ถึง 4 รอบประชุมติดต่อกัน
ส่วนท้ายปีค่าเงินบาทได้แรงหนุนจากการที่จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด ส่งผลดีต่อทิศทางภาคท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม คาดต้นปี 2566 การซื้อขายผันผวนต่อเนื่อง ดอลลาร์อาจได้แรงหนุน ชั่วคราว หากตัวเลขสหรัฐฯออกมาสดใสกว่าคาด ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่า
ทั้งนี้ตั้งแต่ 4 ม.ค.-29 ธ.ค. เม็ดเงินต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1.97 แสนล้านบาท และซื้อพันธบัตรสุทธิ 3.5 หมื่นล้านบาท