svasdssvasds
เนชั่นทีวี

คอลัมนิสต์

เอเชียร้อนแล้วหลัง "แนนซี เพโลซี"เยือนไต้หวัน โดย สุรชาติ บำรุงสุข

04 สิงหาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ค่ำคืนวันอังคารที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็นคืนที่ทั่วโลกต้องจับตามองสถานการณ์การเมืองและความมั่นคงในเอเชียอย่างมาก หลังจากมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องถึงการตัดสินใจของประธานรัฐสภาอเมริกัน "แนนซี เพโลซี"ที่เดินทางเยือนไต้หวันในท่ามกลางข่าวลือที่เกิดขึ้น

 

ท่าทีของรัฐบาลปักกิ่งมีความชัดเจนในลักษณะของการขู่ที่จะใช้มาตรการทางทหารตอบโต้  ถ้าการเดินทางของผู้นำฝ่ายรัฐสภาเกิดขึ้นจริง… แล้วการเดินทางดังกล่าวก็เกิดขึ้นตามที่คาด

 

สภาวะเช่นนี้ส่งผลโดยตรงให้สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียร้อนแรงขึ้น และยังกระทบกับตลาดหุ้นในเอเชียด้วย

 

ในมุมมองของปักกิ่งนั้น ไต้หวันเป็นดินแดนของจีน ที่ยังไม่สามารถนำกลับมารวมให้เป็นส่วนหนึ่งของจีนได้ ซึ่งแตกต่างจากฮ่องกงที่จีนได้รับมอบคืนจากอังกฤษแล้ว

 

อีกส่วนเป็นผลมาจากความตกลงที่หลายประเทศได้ลงนามยอมรับเงื่อนไขของจีนภายใต้นโยบาย "จีนเดียว"ที่จะไม่ยอมรับสถานะความเป็นรัฐเอกราชของไต้หวัน และยอมรับจีนมีเพียงจีนเดียวเท่านั้นคือ"สาธารณรัฐประชาชนจีน"


แต่แม้กระนั้น หลายประเทศที่เปิดความสัมพันธ์กับจีนปักกิ่งแล้ว
ก็ยังคงความสัมพันธ์ในระดับหนึ่งกับจีนไทเปไว้ต่อไป และไม่ได้มีการตัดความสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิง

 

ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดมาโดยตลอดที่รัฐบาลปักกิ่งจะใช้ทุกวิถีทางที่จะโดดเดี่ยวไต้หวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือกดดันให้ประเทศเล็กๆ ต้องทิ้งไต้หวันและหันไปกระชับความสัมพันธ์กับปักกิ่งแทนเพื่อผลตอบแทนทางเศรษฐกิจยิ่งในช่วงที่ผ่านมา จีนมีความเติบโตในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลให้เกิดการยกระดับกองทัพจีนอย่าวก้าวกระโดด จากกองทัพแบบเก่าของยุคสงครามเย็น ไปสู่การเป็น "กองทัพชั้นนำของโลก" ตลอดรวมถึงการขยายบทบาททางการเมืองในภูมิภาคต่างๆ ของโลก

 

ดังนั้นภาพคู่ขนานสามส่วนของการขยายอิทธิพลของจีนในเวทีโลก จึงเป็นทั้งมิติทางการเมือง เศรษฐกิจและการทหาร เคลื่อนตัวตามกันไป

 

ในขณะที่การเติบโตของจีนเกิดขึ้นในช่วงต้นของศตวรรษที่ 21 อีกด้านหนึ่งโลกตะวันตกและโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาอาจจะไม่ได้เติบโตทางเศรษฐกิจได้มากแบบจีนและมีปัญหาภายในอย่างมาก อีกทั้งการขึ้นสู่อำนาจของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์นโยบายต่อพันธมิตรความมั่นคงที่เปลี่ยนไป พร้อมกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ภาพลักษณ์ของโลกตะวันตกในช่วงที่ผ่านมาจึงดูอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง

 

จนเกิดความเชื่อว่า "ตัวแบบจีน" คืออนาคตของโลก และถูกนำมาใช้ในการโฆษณาทางการเมืองว่า "ยุคของโลกตะวันตกกำลังปิดฉากลง"
เรากำลังก้าวสู่ "ยุคแห่งความรุ่งโรจน์ของโลกตะวันออก" ที่มีจีนเป็นผู้นำ ประธานาธิบดีปูตินก็อาจเชื่อในวาทกรรม "การล่มสลายของโลกตะวันตก" ไม่แตกต่างกัน

 

การตัดสินใจเปิดสงครามยูเครนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ในมุมมองของผู้นำรัสเซียจึงเกิดในเงื่อนเวลาที่เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าเราจะตีความว่าการพบที่โอลิมปิกฤดูหนาวจะเป็นการส่งสัญญาณแจ้งเตือนของสงครามยูเครนหรือไม่ก็ตาม

 

เมื่อสงครามยูเครนเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดมุมมองว่าไต้หวันอาจกลายเป็น "ยูเครนแห่งเอเชีย" ซึ่งรัฐบาลจีนไม่ยอมรับและปฎิเสธมุมมองเช่นนี้มาโดยตลอด และยืนยันว่าไต้หวันเป็นดินแดนของจีนที่ต้องรวมชาติแม้จะต้องใช้กำลังก็ตาม ฉะนั้นที่ผ่านมา สหรัฐอาจจะดำเนินนโยบายแบบ "กำกวม"ต่อปัญหาไต้หวัน แต่ก็เป็นที่รับรู้กันในทางยุทธศาสตร์ว่า โลกตะวันตกสูญเสียไต้หวันไม่ได้ เท่าๆกับที่วันนี้
โลกตะวันตกก็สูญเสียยูเครนไม่ได้

 

ดังนั้น สถานการณ์การแข่งขันของรัฐมหาอำนาจใหญ่เช่นในปัจจุบัน
กระแสต่อต้านรัสเซียและจีนจึงขยับตัวคู่ขนานกันไปในโลกตะวันตก และเธอ… แนนซี เพโลซี คือตัวแทนที่ชัดเจนของกระแสนี้

 

อีกทั้งสิ่งที่เป็นจุดยืนที่มีต่อเนื่องมาอย่างยาวนานในชีวิตทางการเมืองของเธอ คือ "การต่อต้านจีนและรัสเซีย"ซึ่งการเดินเยือนไต้หวันคือคำยืนยันอย่างดีในเรื่องนี้ และแน่นอนว่าการเยือนของเธอส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทั้งต่อความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน ต่อการเมืองในเอเชียและเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของจุดเริ่มของ "สงครามเย็นใหม่" ในเอเชีย

 

ถ้า 24 กุมภาพันธ์ ของสงครามยูเครนคือจุดเริ่มต้นของระเบียบการเมืองใหม่ของยุโรป บางทีเราอาจจะต้องยอมรับว่า การเดินทางเยือนไต้หวันในค่ำของวันที่ 2 สิงหาคม คือ สัญญาณที่บ่งบอกถึงจุดเปลี่ยนของการเมืองเอเชีย และอาจนำไปสู่การจัดความสัมพันธ์ของรัฐเอเชียภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ ดังเช่นที่เรากำลังเห็นในยูเครน

 

อย่างไรก็ตาม ถ้าเพโลซีไม่ไปไต้หวันอาจถูกตีความว่าโลกตะวันตก "หงอจีน" แต่ถ้าไปแล้วจีนไม่แสดงบทขึงขังให้น่ากลัวบ้าง ก็จะเป็นว่าจีน "หงอสหรัฐ" … ทัศนะเช่นนี้อาจส่งผลให้การเมืองเอเชียหลัง
2 สิงหาคม มีทั้งความเปราะบางและความท้าทายคู่ขนานกัน

 

ทั้งยังอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าของสองมหาอำนาจใหญ่ได้ง่าย
แต่มีคำถามเล็กๆพ่วงท้ายที่ต้องคิดต่อว่า แล้วรัฐบาลกรุงเทพฯคิดอย่างไรและจะเตรียมตัวรับมือกับ"สงครามเย็นใหม่" ครั้งนี้อย่างไร…

 

โจทย์ชุดใหม่นี้ซับซ้อนกว่าปัญหา  "หาร100" หรือ"หาร500" แน่นอน!

logoline