svasdssvasds
เนชั่นทีวี

คอลัมนิสต์

"คุณหญิงหน่อย" เดิมพันครั้งสุดท้ายบนสมรภูมิเลือกตั้ง เผยจากพท.ด้วยน้ำตา

24 มีนาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"คุณหญิงหน่อย" เปิดใจจากเพื่อไทยด้วยน้ำตา ย้ำ 30 ปีบนเส้นทางประชาธิปไตย เดินทางครั้งสุดท้ายทำ "ไทยสร้างไทย" เป็นสถาบันการเมือง

 

ผ่านช่วงเวลาครบ 30 ปี บนสนามการเมืองของ"คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์"  ไปแล้ว เมื่อวันที่ 22 มี.ค.65 ที่ผ่านมา โดย "คุณหญิงสุดารัตน์" ได้ใช้โอกาสประกาศจุดยืนทางการเมืองภายใต้ร่มเงา"พรรคไทยสร้างไทย" ที่จะลงทำศึกเลือกตั้งกำลังมาถึง  

 

อย่างไรก็ดี "คุณหญิงสุดารัตน์" ได้เดินทางมาเปิดใจถึงเส้นทางการเมืองนับจากนี้ผ่านรายการ"คมชัดลึก" โดยมีวราวิทย์  ฉิมมณี เป็นผู้ดำเนินรายการ 

 

 "จากเพื่อไทยด้วยน้ำตา"   

 

"วราวิทย์" เริ่มต้น คำถามว่า ย้อนกลับมาถามตอนที่คุณหญิงออกจากพรรคเพื่อไทยมา จริงๆถามว่ามันมีคำตอบที่ทุกคนรู้หรือยังว่าตกลงมันเกิดปัญหาอะไรกันแน่ ก็ผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้วคุณหญิงพูดเปิดใจได้มากขึ้นไหมครับ ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

"คุณหญิงหน่อย" เดิมพันครั้งสุดท้ายบนสมรภูมิเลือกตั้ง เผยจากพท.ด้วยน้ำตา

 

"คุณหญิงสุดารัตน์" : ไม่มีใครหรอกค่ะ ที่จะอยากออกจากบ้านที่ตัวเองสร้างแล้วก็เป็นบ้านที่รัก ดิฉันต้องออกมาด้วยความชอกช้ำใจ แต่ว่าความที่เราเป็นคนที่รักในองค์กรก็บอกขออนุญาตจากทุกเวทีว่าขออนุญาตไม่ไปกล่าวให้ร้ายหรือโจมตี ดิฉันเป็นคนอดทนเมื่อฉันอยู่กับพรรคไหนอยู่จนนาทีสุดท้าย เกิดที่พรรคพลังธรรม พรรคพลังธรรมสอนให้ซื่อสัตย์สุจริต สอนให้ทำงานจริงจัง เอาผลงานแลกคะแนนเสียง  เป็น DNA ของตัวเองแล้ว ทำงานจริงจังฟังเสียงประชาชน จากนั้นก็พรรคพลังธรรมตกลงที่จะยุบตัวเองกัน เหลือส.ส.คนเดียวคือดิฉัน 

 

 

"คุณหญิงสุดารัตน์" กล่าวต่อไปว่า จากนั้นก็มาร่วมงานกับไทยรักไทยเกิดการรัฐประหาร แล้วก็เปลี่ยนชื่อมาเรื่อยเราก็ยังอยู่ ถึงแม้ถูกตัดสิทธิ์การเมืองเราช่วงนึงถูกตัดสินอีกช่วงนึงเราก็หยุดตัวเอง เพราะว่าไปทำเรื่องพระพุทธศาสนาไม่อยากมาเกี่ยวกันเดี๋ยวคนมาโจมตีเสียหาย พอกลับมาทำมันก็อาจจะไม่ได้เหมือนเดิมจากที่เราอยู่

 

ดังนั้นไม่เป็นไร วันนี้รักษาองค์กรเดิม ดิฉันไม่มีความคิดร้ายต่อองค์กรเดิม แล้วไม่อยากพูดอะไรให้เสียหายเมื่อความคิดต่างเราก็มาสร้างพรรคการเมืองใหม่ ที่เราเชื่อในอุดมการณ์ของเราก็คือการเป็นพรรคการเมืองที่อยู่ฝั่งประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่เป็นที่เหยียบยืนของเผด็จการ แล้วก็มองถึงการให้โอกาสประชาชนให้ประชาชนเป็นเจ้าของพรรคเป็นศูนย์กลางจริงๆ 

 

"คุณหญิงหน่อย" เดิมพันครั้งสุดท้ายบนสมรภูมิเลือกตั้ง เผยจากพท.ด้วยน้ำตา

 

"วราวิทย์" : ขออนุญาตถามย้ำตรงนี้คุณหญิงจะตอบได้แค่ไหนก็อีกเรื่องนึงนะ คำว่าที่คุณหญิงบอกว่าเจ็บช้ำพอสมควรพอจะขยายความได้ไหมมันคืออะไรครับ 

 

"คุณหญิงสุดารัตน์" : พูดแล้ว กระทบกระเทือนกันได้ ดิฉันไม่ต้องการที่จะออกจากที่นึงหรืออะไร พูดง่ายๆว่าใครเป็นคนสร้างบ้านอยู่ในบ้านที่อย่างมีความสุขก็ไม่มีใครอยากออกหรอก  แต่ก็ถือเป็นเคราะห์กรรมของดิฉันล่ะกัน ซึ่งก้มหน้ารับได้แล้วก็ไฟเรายังมี พลังเรายังมีอุดมการณ์เรายังมี และที่ตัดสินใจว่าต้องมา สร้างพรรค 

 

อย่างที่พูดตอนต้น วันนี้ประชาชนยังทุกข์มากถ้าวันนี้เราทำกลไกทางการเมืองให้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาให้เขาได้ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดความสำเร็จของดิฉันจะอยู่ตรงไหน 

 

 

เมื่อวราวิทย์ถามถึงจุดยืนพรรคไทยสร้างไทย อยู่ตรงไหนของการเมือง

 

คุณหญิงสุดารัตน์ : ความตั้งใจของดิฉัน คืออยากจะสร้างคนใหม่ทางการเมือง วันนี้ไทยสร้างไทยเราคิดว่าเรากำลังสร้างทางเลือกใหม่ทางรอบประเทศ ไม่ใช่มีแต่พวกนักการเมืองที่เป็นนักการเมืองอยู่ปัจจุบัน เรากำลังทอดสะพานไปเชิญคนรุ่นใหม่รุ่นกลางรุ่นใหญ่ทั้งหลาย ให้เข้ามาร่วมกันสร้างประเทศไทยให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตของลูกหลานของเรา อันนี้จะเห็นว่าถ้าส่วนใหญ่แล้วเราอยากได้ ก็ไม่ได้ละเลยคนเก่าเราไม่ได้ไปตามว่าต้องมานะ คือใครที่เห็นประโยชน์และเห็นอุดมการณ์ร่วมกันว่าถึงเวลาต้องสร้างประเทศไทยกันใหม่มาช่วยกันทำ คนที่มีความสามารถด้านนอกต้องเข้ามาวันนี้เราได้เห็นแล้ว 

 

7-8 ปีนี้ถ้าการเมืองมันไม่ดีขอให้ต่อคุณแข็งแกร่งแค่ไหนคุณก็ฝ่าไปไม่ได้ ถ้าอยู่ใน Eco System แบบนี้ อย่ามองพรรคการเมืองและนักการเมืองเป็นซ่องโจร นักการเมืองเป็นโจร เพราะฉะนั้นคุณจะได้แต่พวกโจรมานั่งครองเมือง คนเก่งๆที่อยู่ด้านนอกต้องมองว่านี่คือภาระหน้าที่ที่ต้องสร้างประเทศนี้ด้วยกันและใช้เครื่องมือ ดิฉันเองทำหน้าที่เพียงสร้างยานแม่เท่านั้นเอง แต่คนที่จะมาเป็นกัปตันมาขับยานแม่นี้เพื่อสร้างประเทศไทยด้วยกันทุกคนต้องเข้ามา

 

"คุณหญิงหน่อย" เดิมพันครั้งสุดท้ายบนสมรภูมิเลือกตั้ง เผยจากพท.ด้วยน้ำตา

 

"วราวิทย์" : คุณหญิงประกาศไว้ตรงนี้เป็นแนวทางได้ไหมครับว่าหลังการเลือกตั้งไม่ว่าผลจะออกมาได้เท่าไหร่ จุดยืนของ"ไทยสร้างไทย" จะอยู่ฝ่ายไหน ที่พอจะพูดได้วันนี้

 

วันนี้เราอยู่โลกของ vuca  คือเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วแล้วก็มีความไม่แน่นอนเยอะแยะ เราก็เริ่มเห็นความไม่แน่นอน เรายังไม่ทราบเลยว่าพรรคที่เป็นรัฐบาลอยู่ในวันนี้ ถึงวันนั้นยังจะมีไหม ไม่เอ่ยชื่อพรรค เขายังอยู่ไหมด้วยความขัดแย้งของเขา เพราะฉะนั้นบอกเป็นหลักการแล้วกัน

 

"คุณหญิงหน่อย" เดิมพันครั้งสุดท้ายบนสมรภูมิเลือกตั้ง เผยจากพท.ด้วยน้ำตา

 

เราเสนอตัวเองวันนี้เป็นทางเลือกใหม่เป็นทางรอดประเทศ เราเสนอตัวเอง ณ วันนี้จนถึงวันเลือกตั้งด้วยเราเสนอเป็นตัวเองเป็นทางเลือก เสนอตัวเองเป็นทางรอดของประเทศถ้าใครเห็นว่าประเทศนี้ต้องปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ถ้าใครเห็นว่าประเทศนี้จำเป็นต้องได้ผู้บริหารที่รู้เรื่องของโลกยุคใหม่และเข้าใจเศรษฐกิจ มีความรู้มีความสามารถมีวิสัยทัศน์และก็ถ้าใครเห็นด้วยว่าประเทศนี้ต้องยุติความขัดแย้ง ต้องยุติความขัดแย้งคนเห็นต่างเป็นสิ่งที่สวยงามทางการเมืองเป็นสิ่งที่สวยงามทั้งประชาธิปไตย เราต้องรวมคนเห็นต่างคุยกันเปิดโต๊ะคุยกันแล้วเดินด้วยกันแบบเป็นพี่เป็นน้องถึงแม้เราจะเห็นต่างกัน ถ้าคนเห็นด้วยแบบนี้เลือกไทยสร้างไทยเป็นทางเลือกใหม่เป็นทางรอดของประเทศ

 

"วราวิทย์" :  ถามอีกนิดนึงถ้าเป็นผู้นำที่มาจากทหาร วันนี้คุณถึงพูดได้ไหมว่าจะร่วมงานหรือไม่ร่วมงาน เพราะว่าปฏิเสธไม่ได้นะครับ ก่อนปี 62 ก่อนเลือกตั้งคุณหญิงจะเห็นว่ามีข่าวเล็ดลอดมาตลอด คุณหญิงสุดารัตน์นั่นเตรียมจับมือกับท่านนั้นท่านนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับพลเอกประวิตร 

 

"คุณหญิงสุดารัตน์" : ท้ายที่สุดก็พิสูจน์มาแล้วว่าไม่ได้จริง ยืนยันในหลักการเป็นประชาธิปไตย  ไม่เป็นที่หยิบยื่นของเผด็จการ แต่ถ้าบอกว่าเป็นทหารชื่อทหารนำหน้า "ศิธา" ก็ชื่อทหารนำหน้า  ถ้าที่มาที่ไปมาไม่ถูกต้องตามกระบวนการ แล้วก็เป็นอำนาจนิยมเผด็จการเนี่ยเราคงไม่สนับสนุน ไม่ใช่เราคงเราไม่สนับสนุน ดิฉันประกาศสั้นๆเมื่อวานไปละว่า เราเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยและไม่เป็นที่หยิบยื่นของเผด็จการน่าจะเคลียร์ตรงนี้นะคะ แต่ถ้าจะบอกว่าถ้านำหน้าด้วยทหารชื่อที่เป็นยศทหารเนี่ยก็ต้องบอกว่า "ศิธา" ก็เป็นทหาร ก็ต้องสนับสนุนเขาเป็นผู้ว่าฯ

 

นอกจากเจาะลึก เบื้องหลังการออกจากเพื่อไทยมาเป็นพรรคไทยสร้างไทย  วราวิทย์  ยังได้ยิงคำถามถึงบำนาญประชาชน 3,000 บาท ซึ่งกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ขณะนี้ทำได้จริงหรือไม่

 

"คุณหญิงสุดารัตน์" กล่าวว่า บำนาญประชาชน 3,000  บาท  หลักคิดคือ วันนี้เราต้องยอมรับว่าเราต้องแก้ปัญหาที่ประเทศไทยได้เป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เรามีผู้สูงวัย 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรหมายถึง 1 ใน 3 ของประเทศ และผู้สูงวัยในประเทศไทยส่วนใหญ่ยากจน เมื่อยากจนแล้วสุขภาพไม่ดี เราจะกลายเป็นประเทศที่มีแต่คนแก่ที่ยากจนและสุขภาพไม่ดี ประเทศนี้เดินไม่ได้

 

เราต้องเตรียมการบำนาญประชาชน 3,000 บาท คือการ เตรียมการรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำหน้าที่ 4 ด้านคือ 1 ผู้สูงวัยที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพให้เขามีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพอย่างน้อยวันละ 100 ข้าว 3 มื้อพออยู่ได้ ไม่ใช่วันละ 20 บาท ข้าว 3 มื้ออยู่ไม่ได้ เมื่อเขาอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีมีกำลังกายกำลังใจดีขึ้น เราไม่ได้ให้ฟรีเรามี 2 หน้าที่ให้เขา หน้าที่ของเขาคือต้องรักษาสุขภาพ สร้างสุขภาพให้แข็งแรงแล้วจะมีศูนย์สุขภาพประจำหมู่บ้านชุมชน ซึ่งใส่โปรแกรมลงไปการฝึกสมองไม่ให้ความจำเสื่อม ไม่ให้เป็นอัลไซเมอร์ความคิดอ่านอย่างดี เครื่องออกกำลังกายมีเจ้าหน้าที่ไปเทรน บังคับเข้าอาทิตย์นึง 2-3 ครั้งแล้วแต่เงื่อนไขของสุขภาพคน ออกกำลังกายแล้วก็อาจจะมีสันทนาการทานข้าวกันเพื่อให้จิตใจไม่เหี่ยว 

 

"คุณหญิงหน่อย" เดิมพันครั้งสุดท้ายบนสมรภูมิเลือกตั้ง เผยจากพท.ด้วยน้ำตา

 

เมื่อใจสู้ร่างกายแข็งแรงสมองอย่างดี เขาจะกลับมาสร้างรายได้เข้ามาช่วยครอบครัวและมันคือการลดรายจ่ายของรัฐในการรับษาพยาบาล และลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวที่ต้องดูแลคนป่วย 

 

วันนี้เราตั้งเป้า 3 โรคสำคัญ ความดัน ,ไขมัน ,เบาหวาน 3 โรคนี้คือโรคที่จะทำให้เกิดโรครุนแรงเป็นอัมพฤกษ์ ,อัมพาต ,โรคหัวใจ หรือโรคมะเร็ง ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นทุกข์ของครอบครัวทั้งนั้น ทุกข์ของผู้ป่วยเป็นทุกข์ของครอบครัว เป็นภาระ และเป็นภาระค่าใช้จ่ายของประเทศในโครงการ 30 บาทด้วย 

 

นั่นก็คือการลดภาระลดค่าใช้จ่ายเพิ่มประสิทธิภาพให้คนแก่กลับมาทำงานได้ แล้วทำแบบโมเดลญี่ปุ่น คนแก่กลับมาทำงานบริษัทไหนจ้างลดภาษีให้ ทำให้คนแก่จะกลับมามีสุขภาพดีกลับมาทำงานสร้างรายได้ลดรายจ่าย 

 

ประการต่อมา   ลดภาระลูกหลานคนหนุ่มสาววันนี้เอาตัวเองยังไม่รอดเลยต้องรักพ่อแม่ก็ต้องห่วงพ่อแม่ส่งเงินไปให้ ครอบครัวไม่โตครอบครัวคนรุ่นใหม่โตไม่ได้ 

 

นี่คือที่สำคัญที่สุดนั่นคือกำลังซื้อที่มหาศาล ที่เราจะอัดลงไปอย่างได้ประโยชน์ยิงปืนนัดเดียวได้นก 4 ตัว อัดลงไปเนี่ยลองคิดดู 1 หมู่บ้านในชนบทเนี่ยมีคนแก่ไม่ต่ำกว่า 100 คนเท่ากับ 1 หมู่บ้านมีเงิน 300,000 บาทหมุนทุกเดือน ร้านขายส้มตำขายก๋วยเตี๋ยวขายผักใกล้ๆเงินจะหมุนเวียนอย่างสะพัด เราเอาแค่หมุน 3 รอบก็พอ เท่ากับรัฐจะเก็บภาษีฝ่ายขายกลับเข้ามาเนี่ยอย่างน้อย 1.2 ล้านล้าน ที่จะถูกเก็บขนาดเป็นภาษี vat เป็นภาษีรายได้นิติบุคคลบุคคลธรรมดาก็แล้วแต่ 

 

นี่คือการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและเราจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพราะถ้าเศรษฐกิจฐานราก คือคนส่วนใหญ่เศรษฐกิจไม่ดีข้างบนไปไม่ได้กำลังซื้อภายในประเทศเป็นเรื่องสำคัญ นี่คือการอัดเงินเพื่อเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศไทยแต่ได้ประโยชน์ 4 อย่าง 

 

"วราวิทย์" : แล้วงบประมาณพอคุณหญิงบอกว่าพอทำให้เขากินอิ่มนอนหลับ ทำให้สุขภาพดีลูกหลานก็ลดภาระในการเลี้ยงพ่อแม่ สุดท้ายรัฐก็ได้รายได้กลับมา กระตุ้นการบริโภคภายในด้วยกำลังซื้อมหาศาล พอบวกลบคูณหารแล้วสิ่งที่จะต้องให้เขา 3,000 บาทต่อเดือน แปลงกลับมาเป็นภาษีลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ มันจะพอดีกันเลยหรอเป็นไปได้เหรอครับ คนวิจารณ์ว่านี่เป็นนโยบายประชานิยมหรือเปล่าแจกเงินอย่างเดียวหรือเปล่า

 

"คุณหญิงสุดารัตน์" : ถ้าฟังหมดอย่างนี้มันมีหลักคิด ถ้าฟังแบบนี้แล้วคิดว่าเป็นประชานิยมแจกเงินแบบหว่านแหแจกเงินแบบไร้สติหรือเปล่าอันนี้ต้องฟัง ไม่ใช่เรื่องแค่สุขภาพ ผู้สูงอายุจะถูกเพิ่มทักษะใหม่เข้า โปรแกรมในการที่ไม่ค่อยแข็งแรง เขาต้องกลับไปทำงานเราต้องสร้างคนสร้างแรงงานเพิ่ม ไม่ใช่คนแก่แล้วแก่เลย ต้องกลับมาทำงานได้นี่คือ สิ่งที่ยืนยันว่าไม่ใช่ประชารัฐประชานิยม ที่แจกหว่านเงินแบบไม่มีผลตอบแทนจากการลงทุนของงบประมาณประเทศ มีกลับมาทั้งหมดแล้วทำได้

 

จริงๆแล้วเงินเราเตรียมไว้ว่าจะเอาจากตรงไหนบ้าง แต่ขอใกล้เลือกตั้งที่เราจะดีเบตกัน แล้วจะเอามากางให้ดูและงบประมาณใช้อย่างคุ้มทุนคุ้มค่า แล้วก็เป็น return ทางเศรษฐกิจกลับมา return ทางด้านสุขภาพกลับมา return ทางด้านรายได้ของประชาชนกลับมา

 


 

logoline