svasdssvasds
เนชั่นทีวี

คอลัมนิสต์

การเมือง “นายใหญ่สไตล์” ยิ่งเดินยิ่งไกล (พรรค) ประชาชน

เส้นทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ “นายใหญ่” ยิ่งชัดเจนว่าออกห่างจากพรรคประชาชน หรือ “พรรคส้ม” อย่างไม่ย้อนกลับ นโยบายขายฝันแบบประชานิยมยังคงเป็นจุดขาย แต่คำถามสำคัญคือความฝันเหล่านี้จะแก้ปัญหาระยะยาว หรือเพิ่มความเหลื่อมล้ำกันแน่?

ยิ่งนับวันยิ่งชัดเจนขึ้นว่า เส้นทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ภายใต้การกุมบังเหียนของ อดีตนายกฯทักษิณ ยิ่งออกห่างและห่างไกลจากพรรคประชาชน หรือ “พรรคส้ม” มากขึ้นทุกที แม้คุณทักษิณจะไม่ยอมรับว่า ตัวเองคือ “พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่” เพราะใช้ “ดีลลับลังกาวี” หรือ “ซูเปอร์ดีล” ในการเดินทางกลับประเทศ และได้รับอภิสิทธิ์ต่างๆ เพื่อแลกกับภารกิจ “สกัดส้ม…ไม่ให้สมหวัง” ตามที่มีกระแสวิเคราะห์วิจารณ์กันมาตลอด 

 

โดยอ้างว่าตัวเองคือ “พรรคปฏิรูป” และยกตัวอย่างผลงานของพรรคไทยรักไทยในอดีตมาการันตีก็ตาม แต่พิจารณาจากสิ่งที่อดีตนายกฯทักษิณ หาเสียงเวที อบจ. และพูดทุกเวทีที่มีคนเชิญไปพูด จะเห็นได้ว่า นโยบายที่คุณทักษิณ “ขายฝัน” มีแต่แนวทาง “ประชานิยม” สร้างกระแสแก้จนเฉพาะหน้า โดยไม่ได้มีเนื้อหาสาระของการปรับโครงสร้างประเทศให้ถึงรากถึงโคนแต่อย่างใด แม้แต่ลดค่าไฟ ก็ใช้วิธี “ทุบ” ไม่ใช่ปรับโครงสร้างเพื่อวางรากฐานให้ลูกหลานในระยะยาว

 

การเมือง “นายใหญ่สไตล์”  ยิ่งเดินยิ่งไกล (พรรค) ประชาชน

 

นี่คือจุดต่างอย่างสิ้นเชิงกับพรรคประชาชน หรือ “พรรคส้ม” ที่ส่งต่อจุดยืนและนโยบายมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล และปัจจุบัน คือ ประชาชน ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเชียร์ “พรรคส้ม” แต่กำลังจะวิเคราะห์ในบริบทที่ว่า นักการเมืองมีดีที่ขายฝัน แต่ฝันที่นำมาขาย มันก็แตกต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ ประเด็นอยู่ที่ประชาชนจะเลือกใคร 

 

ทุกวันนี้แม้เราจะปรามาส หรือ สบประมาทว่า สาเหตุที่แกนนำพรรคประชาชนหาเสียงเชิงอุดมการณ์ได้ เพราะยังไม่เคยมีอำนาจจริง แต่การพยายามรักษาจุดยืน โดยไม่เสียอุดมการณ์ ทั้งๆ ที่มีโอกาสเข้าสู่อำนาจ รวมถึงการหาเสียงทุกระดับที่เลือกใช้เงินน้อยที่สุด ก็ทำให้เห็นถึงความตั้งใจ และมีความแตกต่างกับพรรคเพื่อไทย กับ “นายใหญ่” อย่างแทบจะสิ้นเชิง

 

 

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ลีลา “นายใหญ่ทักษิณ” ไม่ใช่ขายฝันธรรมดา แต่ขายฝันแบบ “น่าเชื่อถือ” และทำให้เชื่อว่า “ทำได้” เสียด้วย แม้แต่ผมที่เข็ดเขี้ยวคุณทักษิณมาตั้งแต่ยุคขายหุ้นหมื่นล้านไม่เสียภาษี ได้ฟังแล้วก็ยังเคลิ้มๆ ในบางเวลา สาเหตุเป็นเพราะ… 

 

1.คุณทักษิณใช้เครดิตตัวเองที่เคยประสบความสำเร็จในการเป็นรัฐบาลยุคพรรคไทยรักไทย ซึ่งทำสำเร็จไว้หลายอย่างตามที่หาเสียงไว้ มาเป็นเครื่องการันตีว่าสิ่งที่พูดวันนี้ ก็จะทำได้จริงเหมือนเดิม 

 

โดยเฉพาะนโยบายที่ทุกคนจำกันได้ คือ 30 บาทรักษาทุกโรค, พักหนี้เกษตรกร และหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ โอท็อป (สมัยนั้นเขาแซวกันว่า โอทักษิณ โอพจมาน...) 

 

การขึ้นเวทีระยะนี้ อดีตนายกฯ ก็ยังพูดถึงผลงานเก่าๆ และขยายไปถึงผลงานที่หลายคนอาจจะลืมไปแล้ว เช่น การตั้งมหาวิทยาลัยนครพนม และการตั้งมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ล่าสุดเมื่อวานก็ย้อนผลงานเรื่องอนุมัติพื้นที่ปลูกยางพาราในภาคอีสาน เรียกว่าเก็บทุกเม็ดเพื่อแลกคะแนน ทวงคะแนนจากรประชาชน

 

การเมือง “นายใหญ่สไตล์”  ยิ่งเดินยิ่งไกล (พรรค) ประชาชน

 

2.ช่วงที่คุณทักษิณใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ไม่เคยห่างจาก “การเมืองไทย” แถมยังเคยใช้แคมเปญ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ในการหาเสียง ยืนยันความเป็น “ผู้นำจิตวิญญาณ” และ “ผู้นำทางความคิด” ของพรรคการเมืองนี้อย่างชัดแจ้ง และไม่เคยเหนียม 

 

ต้องยอมรับว่าในยุค Internet of Things (คือ การที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถเชื่อมโยงหรือส่งข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องป้อนข้อมูล) ที่ทำให้เกิดการสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัด การทำให้ตัวเองอยู่ในสปอตไลต์ตลอดเวลาโดยไม่มีเหนียม คือคุณสมบัติหนึ่งของนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จ 

 

3.การกลับมาประเทศไทยของคุณทักษิณ​ มีการพูดถึง “ซูเปอร์ดีล” และการได้รับ “อภิสิทธิ์ - สิทธิพิเศษ” ต่างๆ ทำให้คนไทยทั่วไป เชื่อว่ามีดีลลับจริง 

 

ขณะที่คุณทักษิณเองก็พูดให้เข้าใจได้ว่า ตัวเองได้ “อาณัติ” หรือ Mandate ให้ทำงานเพื่อประเทศไทย โดยเฉพาะการพยายามพูดถึงพระมหากรุณาธิคุณ นำมาซึ่งการต้องทำงานหนักในแบบที่ตัวเองเรียกว่า “สทร.” (แส่ทุกเรื่อง เ*อกทุกเรื่อง) เมื่อผนวกกับการกล้าท้าชน “นิติสงคราม” ทำให้ทุกฝ่ายเชื่อว่า คุณทักษิณน่าจะได้ “อาณัติ” มาจริง 

 

เราจึงได้เห็นภาพทั้ง “นายทุน ขุนศึก ศักดินา” ยอมสยบคุณทักษิณอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้ช่วงที่เป็นนายกฯ powerful ยุคไทยรักไทย ยังไม่ขนาดนี้ 

 

ล่าสุดคุณทักษิณ ถึงขั้นท้าว่า จะไม่มีปฏิวัติเกิดขึ้นอีกแล้ว บนเวทีที่นครพนม ทั้งหมดทำให้คนฟังปราศรัย คนรับสารจากข่าวที่สื่อรายงาน เชื่อหรือเอนเอียงไปในทิศทางที่ว่า คุณทักษิณน่าจะทำได้จริงตามที่ประกาศ 

 

4.ปัจจัยเกื้อหนุนทางการเมือง ทำให้น่าเชื่อว่าคุณทักษิณทำได้ 

 

- พรรคการเมืองของตนเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล (ไม่ใช่พรรคอันดับ 2 หรือพรรคร่วมฯ แต่เป็นพรรคอันดับหนึ่งของรัฐบาล แม้จะแพ้เลือกตั้ง แถมพรรคที่ชนะเลือกตั้งกลับเป็นฝ่ายค้าน) 

- ผู้นำรัฐบาล คือ ลูกสาวของตัวเอง ทำให้ตัวเองยิ่งกว่าชี้นำ ครอบงำ แต่สามารถครอบครองได้เลย 

- สส.เพื่อไทย ให้ความเคารพคุณทักษิณ ไม่ต่างจาก “นายใหญ่” 

- บารมีการเมืองมากล้น ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่กล้าหือ 

- การวางเกมตั้งรัฐบาล การรวมเสียง สส.เพื่อไม่ให้พรรคลำดับ 2-3-4 ต่อรองได้มาก เป็นเทคนิคที่ทำให้คุมพรรคร่วมฯได้ 

 

5.มีบารมีและอิทธิพลในระบบราชการ เพราะเคยเป็นอดีตนายกฯ และเคยรับราชการมาก่อน ถือว่ามีประสบการณ์ และรู้ระบบการทำงาน ทั้งราชการและการเมืองเป็นอย่างดี ถือว่าเป็นจุดแข็งอีกอย่างหนึ่ง 

 

การเมือง “นายใหญ่สไตล์”  ยิ่งเดินยิ่งไกล (พรรค) ประชาชน

 

6.การสรุปบทเรียนและนำมาปรับใช้เป็นนโยบาย เช่น ความพ่ายแพ้ยับเยินของพรรคเพื่อไทยต่อพรรคส้ม ยุคก้าวไกล ในกลุ่มฐานเสียงคนรุ่นใหม่ เรียกว่านักเรียน นักศึกษา คนวัยทำงานที่อายุยังน้อย เทไปทางสีส้มหมด 

 

แต่ผลการเลือกตั้งปี 66 เมื่อเจาะคะแนนรายเขต จะพบว่าหลายๆ พื้นที่ เพื่อไทยก็ได้คะแนนจากคนรุ่นใหม่ ในกลุ่ม First Jobber ซึ่งมีความหมายเฉพาะ ดังนี้ 

 

 - คนรุ่นใหม่กลุ่มมีรายได้น้อย 

 - กลุ่มที่ต้องทำงานช่วยทางบ้าน 

 - ต้องออกจากสถานศึกษาเพื่อทำงาน หรือเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย 

 - กลุ่มที่จบการศึกษาใหม่ๆ แต่ตกงาน หรือได้งานไม่ดีนัก 

 

กลุ่มนี้ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐ และนโยบายของพรรคเพื่อไทยตอบโจทย์​ คือนโยบายแนวประชานิยม ลดแลกแจกแถม เพราะตัวเองต้องการสิทธิประโยชน์ ส่วนกลุ่มที่บ้านมีฐานะ นักเรียนนักศึกษาที่ยังไม่ได้สัมผัสโลกความเป็นจริง กลุ่มนี้เจาะไม่ได้เลย 

 

ฉะนั้น First Jobber คือคำตอบในการแย่งคะแนนจากพรรคส้ม นำมาสู่นโยบาย “บ้านเพื่อคนไทย” ที่มุ่งเป้าหมายกลุ่มนี้อย่างชัดแจ้ง ตามด้วย “แจกเงินหมื่น” ล็อต 3 ให้นำเงินไปรวมกันเพื่อลงทุนเปิดธุรกิจใหม่ 

 

การเมือง “นายใหญ่สไตล์”  ยิ่งเดินยิ่งไกล (พรรค) ประชาชน

 

จุดแข็งเหล่านี้ ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบแกนนำพรรคส้มเกือบทั้งพรรค เพราะเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ แทบไม่เคยมีใครผ่านงานราชการ หรือเคยบริหารราชการแผ่นดินในนามรัฐบาลมาก่อนเลย ทำให้คุณทักษิณกล้าหาเสียง กล้าขยายความ กล้าขายฝัน เพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่กล้าหาเสียงแข่งในประเด็นเหล่านี้ 

 

แต่ปัญหาก็คือ นโยบายขายฝัน มีความฉาบฉวย มุ่งไปที่การสร้างเงิน สร้างรายได้แบบเฉพาะหน้า เหมือนชักชวนให้คนอยากรวย กระตุ้นความโลภ ความอยากได้อยากมี (เช่น ยกตัวอย่างว่า เงิน 3 ล้านล้าน เอามาพันรอบโลกได้หลายรอบ) แต่ในความเป็นจริงแล้ว รากฐานสังคมไทยยังเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงบริการของรัฐยังมีปัญหาตกหล่นมากมาย การบังคับใช้กฎหมายก็เป็นจุดอ่อน 

 

ฉะนั้นนโยบายเฉพาะหน้าเหล่านี้ เมื่อนำมาปฏิบัติจริง อาจยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำมากขึ้น หรือไม่ได้แก้จนอย่างแท้จริง เพราะโครงสร้างที่เป็นต้นตอปัญหายังไม่ได้ถูกแก้ ในมุมนี้ พรรคประชาชน หรือ พรรคส้ม จึงเสนอนโยบายอีกด้าน ให้รื้อโครงสร้างก่อน วางกติกาที่เป็นธรรมก่อน จึงค่อยสร้างฝันในลำดับต่อไป 

 

แต่แน่นอนว่า การเมืองไทยและการเมืองทั่วโลกคือการขายฝัน เพราะความฝันยิ่งหอมหวาน ยิ่งแปรเป็นคะแนนเสียง...