
ศึกเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. รอบปกติ ตามวาระ ที่เหลืออีก 47 จังหวัด พรรคเพื่อไทยส่ง 16 สนาม โดยมี “ผู้ช่วยหาเสียงกิตติมศักดิ์” คือ อดีตนายกฯทักษิณ สร้างกระแส สร้างข่าวรายวัน เรียกว่ากลบทั้งคู่แข่ง “พรรคส้ม - พรรคน้ำเงิน” รวมถึงกลบข่าวรัฐบาลลูกสาวตัวเองด้วย
ใน 16 สมรภูมิ พรรคเพื่อไทยส่งในนามพรรค 14 จังหวัด และอีก 2 จังหวัด ผู้สมัครลงสมัครในนาม “สมาชิกพรรค”
สนามเลือกตั้งท้องถิ่น แตกต่างจากระดับชาติ เพราะไม่มีกระแสชิงนายกฯ ชิงตั้งรัฐบาลที่สามารถชูธงได้ ฉะนั้นเพื่อไทย รวมถึงพรรคกาเมืองอื่นๆ จึงเลือกส่งพื้นที่ที่ตัวเองมีหวังจริงๆ เท่านั้น จะได้ไม่สิ้นเปลืองทรัพยากรมาก เนื่องจากยิ่งส่งมาก ยิ่งต้องไปทุกจังหวัด เพราะไม่มีกระแสระดับชาติหนุน
ภาคเหนือ 6 จังหวัด คือ ลำพูน / ลำปาง / แพร่ / น่าน และเชียงราย ส่วนที่เชียงใหม่ “นายกก๊อง” พิชัย เลิศพงศ์อดิศร ลงในนามสมาชิกพรรคเพื่อไทย
ภาคอีสาน 9 จังหวัด คือ หนองคาย / บึงกาฬ / มุกดาหาร / นครพนม เป็น 4 จังหวัดนครนาคาที่เราวิเคราะห์ไปแล้ว / ตามด้วย สกลนคร / มหาสารคาม / ศรีสะเกษ / และนครราชสีมา ส่วนที่ลงสมัครในนามสมาชิกพรรคคือ อำนาจเจริญ
ภาคตะวันออก มี 1 จังหวัด คือ ปราจีนบุรี ส่วนภาคกลาง และภาคใต้ เพื่อไทยไม่ส่งผู้สมัครนายก อบจ.
สาเหตุที่พรรคเพื่อไทยโฟกัสเท่านี้ เพราะต้องการต่อยอดจากสนาม อบจ. ไปสู่การเลือกตั้ง สส.ปี 2570 พื้นที่เป้าหมายคือ อีสาน และภาคเหนือ
ภาคอีสาน เป็นไปตามยุทธศาสตร์ ยึดอีสานเป็นรัฐบาลตลอดกาล ส่วนภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ เป็นจังหวัดบ้านเกิดของตระกูลชินวัตร จับสังเกตการลงพื้นที่ของอดีตนายกฯทักษิณ ให้น้ำหนักภาคอีสานเยอะมาก พอๆ กับเชียงใหม่ที่แพ้ไม่ได้ เพราะเป็นศึกศักดิ์ศรี
คุณมนพร เจริญศรี หรือ “รัฐมนตรีเดือน” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สส.นครพนม ที่โค่น “ครูแก้ว-สหายแสง” ศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร จากภูมิใจไทยมาได้ รับหน้าที่เป็น “แม่ทัพอีสาน” ในศึกเลือกตั้งนายก อบจ.หนนี้ พื้นที่ที่รับผิดชอบ และส่งกำลังบำรุงมากเป็นพิเศษคือ “อีสานเหนือ” 6 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร และมหาสารคาม
เป้าหมายคือ “ปิดเกม” เอาชนะให้ได้ 100% โดยเฉพาะนครพนม พื้นที่เลือกตั้งของ “รัฐมนตรีเดือน” เอง ทำให้ทั้งนายกฯ แพทองธาร และอดีตนายกฯทักษิณ ลงพื้นที่ไปเปิดปราศรัยแล้วคนละครั้ง และคาดว่าช่วงก่อนเลือกตั้ง อาจมีวนไปอีกรอบ
จุดเด่นของอีสานเหนือ คือ มีมวลชนคนเสื้อแดงเยอะมาก ตอนทำประชามติรัฐธรรมนูญปี 2560 คะแนนโหวตโน ก็มาเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ฉะนั้นการฟื้นคะแนนนิยมจึงไม่ได้ยากมาก แม้ตอนเลือกตั้ง สส.ปี 66 จะพลาดไปหลายพื้นที่ก็ตาม แต่ก็มีการสรุปบทเรียน และปิดจุดอ่อนเกือบหมดแล้ว
โดยเฉพาะครั้งนี้ ถือว่าทุกอย่าง “ประจวบเหมาะ” กล่าวคือ นายใหญ่ก็อยู่เมืองไทย นายกฯ ก็คือนายน้อย เลือดเนื้อเชื้อไข ตัวจริงเสียงจริง ขณะที่อำนาจรัฐก็เต็มมือ เพราะเป็นแกนนำรัฐบาลเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่อดีตนายกฯทักษิณจะตั้งความหวังไว้กับคนใกล้ชิดว่า 16 จังหวัด น่าจะชนะได้ถึง 14 จังหวัดเลยทีเดียว
“รัฐมนตรีเดือน” ในฐานะทีมกุนซือ ทั้งวางแผน และบริหารจัดการ เผยว่า
ได้พยายามดึงจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัด ให้เชื่อมกับผลงานของ “นายใหญ่ทักษิณ” เช่น บึงกาฬ สมัยรัฐบาลไทยรักไทย เคยปลดล็อกให้มีพื้นที่ปลูกยางพารา วันนี้ปลูกกันมากกว่า 1 ล้านไร่ ทำให้คนบึงกาฬลืมตาอ้าปากได้ แถมยังเคยแก้ปัญหายาเสพติดได้ คนบึงกาฬจำนวนไม่น้อยไปฟังปราศรัยและต้อนรับอดีตนายกฯ ถึงขั้นร้องไห้
ส่วนที่นครพนม อดีตนายกฯเคยโชว์วิสัยทัศน์ - นครพนม เดิมเคยหันหน้าเข้ากรุงเทพฯ เลยอยู่หลังสุด จึงต้องปรับใหม่ หันหน้าเข้าลาวทำให้อยู่หน้าสุด เป็นเมืองเปิดสำหรับการท่องเที่ยว สร้างสะพานมิตรภาพ และเปิดให้พิสูจน์สัญชาติ เนื่องจากคนเวียดนามมาอยู่เยอะ ที่สำคัญคือหลอมรวมสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่กระจัดกระจาย ให้กลายเป็น “มหาวิทยาลัยนครพนม”
เรื่องราวเหล่านี้ถูกนำไปปราศรัยบนเวที จนได้ใจชาวบ้าน ได้เสียงปรบมือ และบรรยากาศคึกคักสุดขีด