svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

“ปชป.” ประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับ “กล้าธรรม” เหตุไม่ทนการเมืองสีเทา

“ปชป.-อภิสิทธิ์” ประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับ “กล้าธรรม” เหตุไม่ทนการเมืองสีเทา! ด้าน “โฆษกกล้าธรรม” ซัดกลับเดือด ลั่น“ธรรมนัส” ไม่สักแต่พูด แต่ลงมือทำจริง

24 ธันวาคม 2568 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุมกรรมการบริหารพรรค วาระสำคัญ เป็นการขอมติจากที่ประชุม เพื่อจัดลำดับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค คาดว่า อันดับ 1 คือ นายอภิสิทธิ์ ลำดับ 2 น.ส. การดี (กาน-ดี) เลียวไพโรจน์ ลำดับ 3 นายกรณ์ จาติกวานิช โดย นายพงศกร ขวัญเมือง โฆษกพรรค เปิดเผยว่า มอบหมายให้เลขาธิการพรรค ดำเนินการคัดสรร และ จัดส่งให้ กรรมการบริหารพรรคพิจารณาทางออนไลน์ คาดว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จภายในวันพรุ่งนี้ และจะสามารถเปิดตัวแคนดิเดตทั้ง 3 คนได้ ในวันที่ 26 ธ.ค. นี้ ส่วนนโยบายพรรคทั้งหมด จะเปิดอย่างทางการอีกครั้งหลังวันรับสมัคร สส.
 

นอกจากนี้ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ยังได้มีมติตั้งคณะกรรมการสอบสวน กรณีที่พรรคได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน หากพบว่า มีผู้สมัครของพรรค กระทำการผิดกฎหมายเลือกตั้ง เช่น การซื้อเสียง หรือ พฤติกรรมอื่นๆ สามารถแจ้งเบาะแสได้ทุกช่องทางการสื่อของพรรคประชาธิปัตย์ และตรวจสอบพบว่ามีความจริง พรรคจะยุติ และ ไม่สนับสนุน ผู้สมัครคนดังกล่าวอีกต่อไป
 

พรรคยังมีมติ รับรองเจตนารมณ์ของ นายอภิสิทธิ์ ที่ได้ประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรม ให้เป็นจุดยืนของพรรค รวมถึงมีมติ รับรองให้ นายอภิสิทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค จนครบวาระ 4 ปี เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ มีเจตนารมณ์ ต้องการฟื้นฟูพรรค ซึ่งต้องใช้เวลาและหลักการ ดังนั้น ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร จะไม่ลาออกจากตำแหน่ง อยู่จนครบวาระ เพื่อดำเนินการตามสัจจะที่ได้มอบไว้กับพรรค ในการเลือกตั้งครั้งนี้  
 

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป.

เมื่อถามว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศตัวไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรม แสดงว่าจะเป็นฝ่ายค้าน ใช่หรือไม่ เพราะพรรคกล้าธรรมจะร่วมรัฐบาลกับทุกพรรค นายพงศกร ย้อนสมัยที่พรรคประชาชน เป็นพรรคก้าวไกล ผลสำรวจความเห็นประชาชน อยู่ที่ประมาณ 15%  วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ อยู่ที่ประมาณ 10% แต่เมื่อถึงวันเลือกตั้ง พรรคก้าวไกล ได้รับความนิยมถึง 45% ดังนั้น มองว่า ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ที่สำคัญ พรรคต้องการเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ฟังแล้วอาจเป็นไปได้อย่าง แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้ และ เคยเป็นมาแล้ว
 

ดังนั้น หากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล จะไม่มีพรรคกล้าธรรม
 

ส่วนที่พรรคส่งผู้สมัคร ไม่ครบ 400 เขต นายพงศกร บอกว่า อาจส่งไม่ครบ แต่ก็ให้ได้มากที่สุด  และเมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะดึงคะแนนจาก 42%  ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคใด มาเป็นใช่หรือไม่ นายพงศกร บอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ ขอโอกาสให้การเมืองสุจริตเป็นทางเลือก

"สาทิตย์" ย้ำจุดยืน ปชป. ไม่ร่วมรัฐบาลกล้าธรรม เป็นความเห็นจากประชาชน ไม่ทนการเมืองสีเทา
 

นายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย รองหัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวถึง จุดยืนของพรรค ที่จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรม ว่า นี่ถือเป็นจุดยืนทางการเมือง ที่ไม่ใช่เฉพาะของหัวหน้าพรรค และพรรคเท่านั้น แต่เกิดจากการรับฟังเสียงประชาชน ผ่านโครงการแคมเปญ “ประเทศไทยไม่ทน” ซึ่งประชาชนบอกว่า ไม่สามารถทนกับการเมืองสีเทา และ การทุจริตได้ การประกาศจุดยืนเช่นนั้นของนายอภิสิทธิ์ เป็นความกล้าและเมื่อประกาศไปแล้ว มีเสียงวิจารณ์ว่า ที่สุดแล้ว ก็เหมือนเดิมว่า เมื่อหัวหน้าประกาศจุดยืนไปแล้ว กรรมการบริหารพรรคก็มีมติ อีกทางเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แล้วสุดท้าย หัวหน้าพรรคก็ลาออก แต่มาวันนี้นายอภิสิทธิ์ ประกาศในที่ประชุม กก.บห. เองว่าขอให้เป็นมติผูกพัน และในทางข้อบังคับพรรค ถือเป็นการผูกพันไปถึงหลังเลือกตั้ง และ เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์ จะอยู่จนครบวาระ เพื่อทำการเมืองต่อไป
 

นายสาทิตย์ บอกด้วยว่า รู้สึกแปลกใจว่า เมื่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศจุดยืนไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรมแล้ว ทำไมพรรคประชาชน ถึงบอกว่า พูดไม่ได้ อ้างว่ากลัวผิดกฎหมาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ก็เคยประกาศมาแล้ว จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย จึงสงสัยว่า ทำไมคราวนี้ ถึงประกาศไม่ได้ 
 

ดังนั้น เห็นว่า การเมืองควรมีจุดยืนที่ชัดเจน ความตั้งใจของนายอภิสิทธิ์ หลังออกจากวงการการเมือง 5-6 ปี ซึ่งการเมืองมาถึงจุดตกต่ำ และ ไม่เห็นด้วยกับการเมือง ดีลลับสลับขั้ว ที่ทำให้ ประชาชนเชื่อมั่นนักการเมืองน้อยลง ถึงขั้นพูดว่า สมการการเมืองช่วงหลัง ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการนั้นเลย แต่ที่แปลกใจมากกว่านั้น ทันทีที่นายอภิสิทธิ์ ประกาศออกไป ก็มีการตีความไปหลายทาง เช่น ประชาธิปัตย์ จะเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งไม่เกี่ยว เพราะหัวหน้าพรรค ตัดสินใจเรื่องนี้โดยไม่มีผลประโยชน์ทางการเมือง แต่เป็นการประกาศจุดยืนว่า “เราไม่เอาทุนเทา” แล้วทำการเมืองสุจริต
 

พร้อมเรียกร้องให้ทุกพรรค มีจุดยืนที่ชัดเจน และยังมีการตีความไปอีกว่า หาก พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เอาพรรคกล้าธรรม แล้ว ไปจับมือกับ “พรรคประชาชน“ หรือ “พรรคเพื่อไทย” ถือเป็นยุทธศาสตร์ทางการเมือง ที่มุ่งโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ และ บิดเบือนข้อเท็จจริงจากจุดยืนของหัวหน้าพรรค และเมื่อผูกพันเป็นมติพรรคแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
 

เมื่อดูจากกระแสการเมือง เหมือนมีการเตรียมจับมือร่วมรัฐบาลกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งทุกพรรคที่จะได้อันดับ 1 ก็ เหมือนต้องการพรรคกล้าธรรมไปร่วมรัฐบาล เท่ากับเป็นการปิดประตูตายให้ประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้าน นายสาทิตย์ ระบุ “ทำการเมือง อย่าดูถูกประชาชน” เชื่อว่า ประชาชนต้องการเห็นจุดยืนของแต่ละพรรคการเมือง ไม่มีใครคิดแทนประชาชนได้ เชื่อว่าประชาชนอยากเห็นจุดยืนทางการเมืองที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศและการที่บอกว่า มีการจับมือกันล่วงหน้า ถือเป็นวิธีคิดที่ไม่มีประชาชนอยู่ในความคิดนั้น
 

จากวันนี้ ถึงวันเลือกตั้ง  ประชาชน จะติดตามข้อมูล ข่าวสารอย่างใกล้ชิด ขอให้ประชาชนติดตามดู การดีเบต ดูจุดยืนทางการเมือง ว่าใครหนีเวทีบ้าง ใครประกาศตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่ไม่กล้าขึ้นเวทีดีเบต ในประเทศระบอบประชาธิปไตย การดีเบต คือการแสดงจุดยืนทางการเมือง ส่วนผลการเลือกตั้งเป็นอย่างไร ให้รอดูหลังวันเลือกตั้ง
 

เมื่อถามว่า ทำไมจึงประกาศไม่จับมือกับพรรคกล้าธรรมพรรคเดียว ทั้งที่พรรคอื่นก็ไม่โปร่งใส นายสาทิตย์ เปิดเผยว่า เรื่องนี้มีเป็นซีรีส์ของประชาชนติดตาม
 

และในอนาคตต้องจับมือกับพรรคประชาชน จะมีจุดยืนต่อมาตรการ 112 อย่างไร เพราะพรรคประชาชน ยืนยันจะสานต่อเรื่องนี้ นายสาทิตย์ ย้ำจุดยืนว่า 112 เป็นมาตราที่ยังมีความจำเป็น แต่การบังคับใช้ ต้องมีความชัดเจน และโปร่งใส  ประเด็นไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย แต่อยู่ที่การบังคับใช้ และเมื่อถามย้ำว่า ความชัดเจน ที่จะจับมือทางการเมืองมีมากน้อยแค่ไหน ต้องดูจุดยืนทางการเมืองก่อน จะจับมือกับใครยังมีเวลาอีกนาน พร้อมอธิบายด้วย ว่า หัวหน้าพรรคประชาชน ไม่ได้บอกว่า จะแก้ ม.112 แต่มุ่งเน้น จะนิรโทษกรรมให้ผู้ต้องหาในคดี ม.112 ซึ่งตอนนี้ กฎหมายฉบับนี้ ถูกแช่แข็งอยู่ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ จะมีมติให้เดินหน้ากฎหมายฉบับนี้หรือไม่
 

ส่วนที่มีการโจมตี พรรคประชาธิปัตย์ เรื่องสลายการชุมนุม และคดี 99 ศพ นายสาทิตย์ ยอมรับว่า ตอนนี้ถูกโจมตี 3 เรื่อง เรื่องแรก โครงการชั่งไข ซึ่งไม่เคยเห็นมีว่าการขายแบบนี้ที่ไหน เรื่องนี้เป็นประเด็นเก่า เหมือนท่องกันมา แต่ไม่มีผล เพราะไม่มีอยู่จริง เรื่องคดี 99 ศพ เรื่องนี้ ต้องดูที่นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงกับ นศ.ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้ง เรื่อง MOU  43/44  ที่ตอนนี้ ก็พูดถึงน้อยลง เพราะมีการประชุมผ่านกลไกทวิภาคีแล้ว มองว่า เป็นเรื่องธรรมดา ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่นำมาโจมตีพรรค หลังพรรคได้รับความสนใจจากประชาชน พรรคและหัวหน้าพรรค พร้อมชี้แจงทุกเรื่อง 
 

นายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย รองหัวหน้าพรรค ปชป.
 

"กล้าธรรม" ซัดเดือด "อภิสิทธิ์" ลั่น "ธรรมนัส" ไม่สักแต่พูด แต่ "ลงมือทำจริง" มีผลงานการันตี
 

นายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ โฆษกพรรคกล้าธรรม กล่าวถึงกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ ประกาศว่าจะไม่ร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม ภายหลังการเลือกตั้งปี 2569 ว่า ท่าทีดังกล่าวสะท้อนแนวคิดทางการเมือง ที่มุ่งสร้างความแตกแยก มากกว่าการแสวงหาความสามัคคี เพื่อร่วมกันทำงานให้ประเทศเดินหน้า
 

เชื่อว่าประชาชนยังจดจำบทเรียนทางการเมืองในอดีตได้เป็นอย่างดี ทั้งกรณีการเรียกร้องให้เกิดการปฏิวัติ การบริหารประเทศที่นำไปสู่วิกฤตความขัดแย้งแ ละความสูญเสียกลางเมืองหลวง รวมถึงปัญหาการจัดการที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ที่ถูกตั้งคำถามถึงการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน ตลอดจนความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จากการบริหารจัดการหนี้ และทรัพย์สินของชาติ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า เป็นการขายทรัพย์สินของคนไทยให้ต่างชาติในราคาต่ำกว่ามูลค่า
 

นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ครั้งหนึ่งที่เคยตระบัดสัตย์ทางการเมือง เมื่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ แต่สุดท้ายมติพรรคกลับเข้าร่วม อีกทั้งยังมีข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตซื้อเสียง และกรณีสมาชิกพรรคบางรายต้องโทษจำคุก ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่สังคมรับรู้มาโดยตลอด
 

นายอัครแสนคีรี กล่าวย้ำว่า การเมืองในยุคปัจจุบันควรมุ่งสมานฉันท์ สร้างความร่วมมือและความหวังให้กับประชาชน ไม่ใช่พฤติกรรมหรือวาทกรรมที่นำไปสู่ความแตกแยก พร้อมชี้ว่า พรรคการเมืองบางพรรค เมื่อได้เป็นรัฐบาลก็มักนำไปสู่วิกฤตและความขัดแย้ง แต่เมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาลกลับใช้วิธีการนอกระบบ ปลุกเร้าความแตกแยกในสังคม โดยประชาชนยังจดจำภาพบทบาทของผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยลงถนนและเป่านกหวีด จนท้ายที่สุดประเทศต้องเผชิญกับการปฏิวัติ
 

ทั้งนี้ พรรคกล้าธรรมขอยืนยันจุดยืนว่า เราพร้อมทำการเมืองเชิงสร้างสรรค์ ยึดผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเชื่อมั่นว่าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินจากผลงาน และแนวทางที่แท้จริงในการเลือกตั้งที่จะมาถึง เราไม่ใช่การเมืองที่สักแต่พูดสวยหรูเพื่อขายฝัน แต่เป็นการเมืองที่ลงมือทำจริงเพื่อประเทศและประชาชน
 

ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ก็ยังเป็นเรื่องของอนาคต มองว่า ปชป.ไม่น่าจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นการที่ออกมาระบุว่า จะจับมือกับพรรคนั้นไม่จับกับพรรคนี้ ปชป.คงไม่ใช่ผู้กำหนดทิศทางการเมือง 
 

“ปชป.” ประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับ “กล้าธรรม” เหตุไม่ทนการเมืองสีเทา