
18 ธันวาคม 2568 นับเวลาเข้าสู่การเลือกตั้ง 8 ก.พ. 69 ที่บรรดาพรรคการเมือง ต่างเตรียมพร้อมลงสนามเลือกตั้งอย่างเต็มสูบ โดยสิ่งที่เกิดขึ้นทางการเมืองขณะนี้ กลายเป็นพรรคที่มีกระแสดีรับการเลือกตั้ง 69 กลายเป็นพรรคหน้าใหม่ กับพรรคฟื้นใหม่ หรือพรรคเก่าแก่
พรรคหน้าใหม่ คือ พรรคเศรษฐกิจ ภายใต้การนำของ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ หรือ “บิ๊กตี๋” ที่ต้องบอกว่า “ขี่กระแสแฉไส้ศึกเขมร” ทำให้คะแนนนิยมโตวันโตคืน ถึงขั้นโพลทุกสำนักฟันธง มี สส.เข้าสภาแน่
ส่วนพรรคฟื้นใหม่ ซึ่งหมายถึงพรรคเก่าแก่ที่สุดในเมืองไทยที่ใครๆ คิดว่าปิดฉากไปแล้ว แต่หนนี้ฟื้นคืนชีพอย่างไม่น่าเชื่อแค่เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค นั่นก็คือ ประชาธิปัตย์ เจ้าของสัญลักษณ์ “ค่ายสีฟ้า - พระแม่ธรณีบีบมวยผม”
วันนี้ประชาธิปัตย์เปิดว่าที่ผู้สมัคร สส.กทม. 33 คน พื้นที่ความหวังของพรรคกระแสดีทุกยุค เพราะสมรภูมิเมืองหลวง ใช้กระแสนำตัวบุคคลแทบทุกสมัย
ส่วนว่าที่ผู้สมัครเขตอื่นๆ ทั่วประเทศน่าจะทยอยเปิดเป็นลำดับไป
แต่ประเด็นที่คนสนใจ คือ แคนดิเดตนายกฯของประชาธิปัตย์ จะเป็นใคร นอกจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค
การมีแคนดิเดตนายกฯ เป็นบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญปี 60 โดยผู้ได้รับการเสนอชื่อ ไม่ต้องลงสมัคร สส. และไม่ต้องเป็น สส.ก็ได้ แต่เป็นคนที่พรรคการเมืองนั้นๆ จะเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ หากได้จัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคต้นสังกัดต้องมี สส.เกินร้อยละ 5 หรือ 25 คนขึ้นไป
เลือกตั้งตามกติกานี้มา 2 ครั้ง คือปี 2562 กับปี 2566 พรรคประชาธิปัตย์เสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียว ทั้งๆ ที่กติกาให้เสนอได้ไม่เกิน 3 ชื่อ หรือไม่เสนอเลยก็ไม่ผิดกติกา
แต่ประชาธิปัตย์เสนอแค่ 1 ชื่อ คือ หัวหน้าพรรค ทุกครั้ง
มองในแง่ดี คือ มีความชัดเจน และหัวหน้าพรรค ย่อมต้องเป็นนายกฯ หากพรรคได้เป็นรัฐบาล
แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่มีแต่ปัญหา เต็มไปด้วยกับระเบิดทางการเมือง นักร้องชุมยิ่งกว่ายุง และกฎหมายหลายข้อหลายมาตรา ไม่เอื้อให้ฝ่ายบริหารทำงานอย่างราบรื่น ทำให้นายกฯถูกสอยจากตำแหน่งอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะ “มาตรฐานจริยธรรม”
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ พรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลแค่ 2 ปี นายกฯโดนสอย 2 คน เสนอชื่อแคนดิเดตครบ 3 คน ได้ใช้ทั้ง 3 คน แต่ลำดับ 3 ไม่ได้รับเลือกให้เป็นนายกฯ
และความพีคก็คือ เพื่อไทยน่าจะเป็นพรรคการเมืองเดียว ที่เสนอแคนดิเดตครบ 3 ชื่อ และใช้ครบทั้งสาม
เหตุนี้เองจึงทำให้หลายๆ พรรคต้องคิดปรับตัว หันมาเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ มากกว่า 1 และพรรคประชาธิปัตย์ก็กำลังเป็นหนึ่งในพรรคที่ปรับตัวเช่นกัน
แต่ชื่อแคนดิเดตนอกจาก อภิสิทธิ์ ถูกอุบไว้เงียบกริบ แฟนคลับและคอการเมืองจึงได้แต่เดา
ล่าสุด “เนชั่นทีวี” ได้ข่าวกระเส็นกระสายวงในจากพรรคเก่าแก่ ว่ารายชื่อแคนดิเดต 2 ชื่อ ที่เหลือ
หนึ่ง คือ กรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง อดีตหัวหน้าพรรคกล้า และอดีตผู้ท้าชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนอังกฤษของอภิสิทธิ์ จะมานั่งเป็นอีกหนึ่งแคนดิเดตนายกฯ ฉายภาพมือเศรษฐกิจของพรรคที่ไม่ตกยุค
สองคือ ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายอนาคตศึกษา (Chief Foresight Officer) แห่ง FutureTales Lab
หากชื่อ ดร.การดี ได้รับการประกาศเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคประชาธิปัตย์จริง จะถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของพรรคเก่าแก่ เพราะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ครบ 3 ชื่อเป็นครั้งแรก แถมเสนอผู้หญิงขึ้นท้าชิงตำแหน่ง โดยเป็นผู้หญิงเก่งที่ได้รับการยอมรับจากหลากหลายวงการ
สำหรับ ดร.การดี ปัจจุบันอายุ 50 ปี
การศึกษา
- ปริญญาเอก สาขา วิศวกรรมอุตสาหการ ,มหาวิทยาลัย วิสคอนซิน แมดิสัน, สหรัฐอเมริกา
ตำแหน่งสำคัญ
- กรรมการผู้จัดการ C ASEAN
- ผู้อำนวยการสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย
- ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายอนาคตศึกษา (Chief Foresight Officer) แห่ง FutureTales Lab
ดร.การดี เลียวไพโรจน์ เป็นหญิงแกร่งสายเทคโนโลยีที่โดดเด่นในแวดวงธุรกิจ นวัตกรรม และอนาคตศึกษา สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงในสายงานเทคโนโลยี ด้วยพื้นฐานด้านวิศวกรรมอุตสาหการและประสบการณ์กว่า 20 ปีในการผลักดันการพัฒนานโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสร้างสรรค์ นวัตกรรมเพื่อสังคม และการร่วมขับเคลื่อนเยาวชนไทยให้เป็นกำลังหลักของประเทศ
ดร.การดี จบการศึกษาปริญญาตรีจากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร และได้รับทุนวิจัยศึกษาต่อปริญญาโทและเอกที่ University of Wisconsin-Madison สหรัฐอเมริกา เริ่มต้นเส้นทางด้วยการเป็นอาจารย์สอนวิศวกรรมอุตสาหการ และภาควิชาพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กว่า 13 ปี ก่อนก้าวสู่บทบาทผู้บริหารยุคใหม่