
11 ธันวาคม 2568 มีรายงานว่าช่วงค่ำวันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการทั่วไป แล้ว
โดยการกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร มีขึ้นหลังจากที่สมาชิกรัฐสภา เสียงข้างมากมีมติให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256/28 ต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกวุฒิสภา ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกวุฒิสภาที่มีอยู่ ซึ่งนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน และเป็นพรรคการเมืองที่สนับสนุนนายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้นายอนุทิน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ยุบสภาผู้แทนราษฎร หลังจากที่มีสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ลงมติเป็นเสียงข้างมาก
รายงานข่าวแจ้งว่า นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ได้ชี้แจงให้ผู้แทนพรรคประชาชนทราบว่า หากลงมติให้ตัดอำนาจสมาชิกวุฒิสภา ตามที่พรรคประชาชนต้องการ ในวาระ 3 สมาชิกวุฒิสภา จะไม่เห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะส่งผลให้กระบวนการการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พยายามทำกันมา ต้องล้มเหลว จึงขอให้คงอำนาจสมาชิกวุฒิสภา ไว้ก่อน เพื่อให้กระบวนการเดินหน้าต่อไปได้ แต่ผู้แทนพรรคประชาชน ไม่ยอม และแจ้งว่าหากโหวตแพ้ในมาตรา 256/28 จะยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะทันที
ทำให้ นายอนุทิน ต้องตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาชนให้มาเป็นนายกรัฐมนตรี หากพรรคประชาชนไม่สนับสนุน รัฐบาลก็ต้องสิ้นสุดวาระ
“พวกเราพยายามเจรจากับสว. เต็มที่แล้ว แต่เราไปสั่งสว.ให้ตัดอำนาจตัวเอง ไม่ได้ และพยายามเจรจากับพรรคประชาชนแล้วว่า ถ้าตัดอำนาจสว. สว.ก็จะไม่เห็นชอบในวาระ 3 ซึ่งกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญก็ไปต่อไม่ได้ และเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อภารกิจ ที่ทำไม่ได้ตามที่พรรคประชาชนต้องการ ก็ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นภารกิจหลักตามข้อตกลงการจัดตั้งรัฐบาล คือ ให้มายุบสภาผู้แทนราษฎร วันนี้นายอนุทิน ได้ทำภารกิจนี้ตามข้อตกลงแล้ว” กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย กล่าว
ทั้งนี้เมื่อย้อนกลับไปก่อนจะมีกระแสข่าวการยุบสภาแบบกระทันหันหลัง พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยแตกหักจากปมการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะพบว่า
- การประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่าง รธน.แก้ไขเพิ่มเติม ราบรื่นมาจนถึงช่วงท้าย
- มาตรา 256 อนุ 26 : ปลดล็อก สว.ลงสมัคร สส.ได้ และดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ห้ามเฉพาะลง สว.ชุดใหม่
**สว.ผู้สงวนคำแปรญัตติยอมถอย
- มาตรา 256 อนุ 28 : ตัดเสียง สว. 1 ใน 3 เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำใหม่วาระแรก รับหลักการ
**สว.สงวนคำแปรญัตติให้คงเสียง สว. 1 ใน 3 เอาไว้
**อภิปรายโต้เดือด สส.ประชาชน + เพื่อไทย VS สว.
**ขู่ยื่นซักฟอก VS ขู่คว่ำวาระสาม
**สส.ภูมิใจไทยพยายามไกล่เกลี่ย ถอยคนละก้าว
**สุดท้ายโหวตพ่าย ที่ประชุมรัฐสภากลับมติ คงเสียง สว. 1 ใน 3 ด้วยคะแนน 312:290
**พรรคประชาชนเสนอนับคะแนนใหม่แบบขานชื่อ
- ฝ่ายค้าน + ฝ่ายค้ำ ระดมล่าชื่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
- มีข่าวนายกฯ เสนอร่างพระราชกฤษ ฎีกายุบสภา
**หากยุบสภาสำเร็จ การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นอีกไม่เกิน 60 วันนับจากยุบสภา จะไม่มีการทำประชามติรัฐธรรมนูญ ทั้ง 2 คำถาม
- รู้กันวงใน “11 ธ.ค.วันแตกหัก”
- มีข่าว “ผู้นำจิตวิญญาณสีส้ม รุ่น 1” บัญชาการเกมหลังบัลลังก์
- มีข่าว “นายกฯ อนุทิน” แจ้ง “ผู้นำจิตวิญญาณสีส้ม เบอร์ 2” ต้องยุบสภา
- มีข่าว “นายกฯ อนุทิน” เคยพูดเป็นนัย วันประชุมหัวหน้าส่วนราชการ 9 ธ.ค.68
“เชื่อว่าเลขาฯ กฤษฎีกาคงต้องหาช่องทางต่างๆ ให้ประเทศของเราได้เดินหน้าต่อไปได้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่ออธิปไตย และแผ่นดินของเรา ซึ่งต้องคิดเผื่อสิ่งเหล่านี้ไปด้วย เพราะเราคงไม่ใช้คำว่า หากเป็นรัฐบาลรักษาการ แล้วมีเหตุการณ์คับขันเกิดขึ้น ก็จะไม่ทำและรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามา เพราะการรอไปก่อนอาจจะเกิดผลเสียอย่างมากมายต่อประเทศ ผมจะไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
ทั้งนี้ ภายหลังชัดเจนแล้วว่า นายกฯ อนุทิน ส่งสัญญาณพร้อมยุบสภาในวันที่ 12 ธ.ค. 68 เพื่อหลีกเลี่ยงการอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้าน ในฐานะรัฐบาลเสียงข้างน้อย
ตามกรอบรัฐธรรมนูญ หากมีการยุบสภา จะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน ซึ่งจะครบกำหนดไม่เกินวันที่ 10 ก.พ. 69
วันเลือกตั้งใหม่ที่เป็นไปได้มากที่สุดตามประเพณีปฏิบัติคือ วันอาทิตย์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 1 หรือ 8 ก.พ. 69
อย่างไรก็ตาม หากมีการยุบสภา 12 ธ.ค. ย่อมส่งผลกระทบต่อการเตรียมทำประชามติ รธน. และประชามติ MOU 43-44
เนื่องจากไม่สามารถจัดเตรียมการรณรงค์ทำความเข้าใจ การประชามติ ไม่ทันตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติ กม.ประชามติ ต้องไม่น้อยกว่า 60 วัน
กฎหมายประชามติ เน้นเรื่องการให้ข้อมูลอย่างรอบด้าน และมีเวลาเพียงพอ ไม่ใช่ว่ากฎหมายบังคับว่า ต้องทำประชามติภายใน 60 วัน แต่กำหนดให้มีกรอบเวลา "อย่างน้อย 60 วัน" นับตั้งแต่วันที่ประกาศให้มีประชามติ เพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลและขั้นตอนต่างๆ ทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์