
3 ธันวาคม 2568 ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยอมรับกับ เนชั่นทีวี ว่า จากสถานการณ์มหาอุทกภัยภาคใต้ ส่งผลกระทบต่อความนิยมพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้ง69 แต่ขึ้นอยู่อีกว่า จะมีการเลือกตั้งเร็วหรือช้า
ยุบสภาเร็วได้ แต่ต้องกู้คืนความนิยม
"สมมุติหากนายกฯอนุทินยุบสภาเร็ว บนกระแสข่าวที่ว่าพรรคเพื่อไทย ต้องการจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยที่ภูมิใจไทยไม่ปล่อยให้ยื่นอภิปราย ขอยุบสภาทันทีหลังวันที่ 12 ธันวาคมนั้น ซึ่งจะทำให้การเลือกตั้งเร็วกว่าปฏิทินเดิม ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2569 แต่มีคำถามว่า ในสถานการณ์ที่ รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในการจัดการรับมือกับปัญหามหาอุทกภัยภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ อย่างนี้จะกล้ายุบสภาเร็วได้หรือไม่"
"ถ้าเกิดนายกฯอนุทินต้องการจะเดินไปเส้นทางนี้ หมายความว่าจากวันนี้ ถึงวันที่ 12 ธันวาคม หรือประมาณ 10 วัน ถ้าสามารถจัดการฟื้นฟูเยียวยาได้ จนความรู้สึกผู้คนคลายความโกรธเคือง อาจจะมีผลต่อความนิยมพรรคภูมิใจไทยกลับมา ทำนองว่าประชาชนให้อภัยได้"
ดร.สติธร ย้ำว่า ต้องรีบจัดการสถานการณ์ตรงนี้ คือ 1.เร็ว 2.ต้องให้ถูกใจด้วย เพียงพอกับความรู้สึก ความเดือดร้อนของผู้คน ถ้าเป็นไปตามนี้ คิดว่าในระดับเขตเลือกตั้งภาคใต้ที่ภูมิใจไทยเคยคาดหวังไว้ อาจจะไม่กระทบมาก
ดร.สติธร มองว่า ฐานความนิยมที่พรรคภูมิใจไทยจะได้รับผลกระทบแน่ๆ คือ คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ จากสถานการณ์มหาอุทกภัย จะทำให้พรรคภูมิใจไทยเอาคืนยากหน่อย โดยเฉพาะในพื้นที่อื่นๆ ในพื้นที่ภาคใต้อาจจะยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นอีก อย่างวันนี้นิด้าโพลสะท้อนออกมา แม้ผลสำรวจจัดทำขึ้นก่อนเกิดอุทกภัยแต่ผลสำรวจออกมาคร่อมกับวันที่มีเหตุการณ์ 23- 24 พ.ย. เท่านั้น เราจะประเมินยากว่าความรู้สึกเป็นอย่างไร
ภท.ต้องทำใจ ไม่ใช่เบอร์หนึ่งของภาคใต้
“แต่ว่าสัญญาณ เริ่มมาแล้วว่าต่อให้ไม่มีน้ำท่วม ความนิยมของภูมิใจไทย ไม่ใช่ที่หนึ่งของภาคใต้ในแง่บัญชีรายชื่อ เพราะว่า เวลาพูดถึงนิด้าโพลแล้วต้องยอมรับว่า การถามเรื่องนายกฯ และความนิยมต่อพรรค สะท้อนได้แค่ระดับบัญชีรายชื่อ สะท้อนลงเขตยาก ตราบใดที่คุณไม่เอาชื่อคนไปถามประชาชนว่าจะเลือกใคร"
หมายความว่า ต่อให้ไม่มีน้ำท่วม ภูมิใจไทย ก็ยังไม่ใช่ที่หนึ่งในภาคใต้ เป็นเรื่องที่ต้องไปสู้กระแสกันอยู่ดี แต่พอมีน้ำท่วมมาแล้ว โอกาสที่จะเป็นเบอร์หนึ่งก็ยากขึ้น แม้ว่าจะจัดการปัญหาหลังจากน้ำลดไปได้ดี ไม่ได้แปลว่าจะสามารถขึ้นมาครองใจคนภาคใต้เป็นที่หนึ่งได้ ตรงนี้ทำใจไว้เลยว่ากระทบแน่
อุทกภัยหาดใหญ่ ฉุดความนิยมรายเขต
ส่วนจะฉุดกระแสความนิยม จากคนนอกพื้นที่ด้วยหรือไม่นั้น ดร.สติธร กล่าวว่า ต้องยอมรับคนที่วิพากษ์วิจารณ์เยอะ ส่วนใหญ่เป็นเสียงของคนนอกพื้นที่ก็เยอะ
คนนอกพื้นที่แปลว่า หนึ่งเขาอาจจะไม่ได้อยากเลือกพรรคนี้อยู่แล้ว พร้อมที่จะซ้ำอยู่แล้ว หรือ 2 เขาอาจจะยังลังเลอยู่ว่า กระแสพรรคนี้ตกลง ยังพอเป็นทางเลือกให้เราได้ไหม อาจจะทำให้ประชาชนตัดใจจากพรรคภูมิใจไทย
แต่คนที่เขาเลือกอยู่แล้ว เราจะสังเกตว่ามีแม่ยกจำนวนไม่น้อย ของบรรดาสส.ภูมิใจไทยในพื้นที่ต่างๆ พบว่าก็มีคนเชียร์ให้กำลังใจอยู่ในพื้นที่ฐานเสียงของเขา เป็นจุดแข็งที่ระบบเขต แปลว่าโอกาสที่เขาจะได้คะแนนบัญชีรายชื่อเดิมจากคนกลุ่มนี้ยังมีอยู่ แต่ก็ไม่ได้ว่าเป็นลำดับหนึ่ง
"หมายความว่าจะไปหวังระดับที่ว่าจากภูมิใจไทยที่เคยได้ 3 เปอร์เซ็นต์ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว วันนี้จะกระโดดขึ้นมาเป็น 30 เปอร์เซ็นต์อย่างไม่น่าจะหวังได้ขนาดนั้น"
สไตล์ภท.ใช้วิกฤตเป็นโอกาส พลิกทำคะแนน
ดร.สติธร บอกว่า ถ้าโฟกัสแค่ที่สงขลา ที่หาดใหญ่ ผมว่าผู้สมัครแบบแบ่งเขตของภูมิใจไทย หลังจากนี้อาจจะเหนื่อยมากขึ้น ในการหาเสียงเพื่อให้คนมั่นใจว่าให้เลือกเขากลับเข้ามาทำงานต่อ ส่วนจังหวัดอื่นๆต้องสแกนดูอีกครั้งหนึ่ง
"ผมคิดว่าต้องดูละเอียดนะ ของแบบเนี้ย คือในวิกฤตมันมีโอกาสเสมอ ระบบการเมืองแบบอุปถัมภ์บ้านใหญ่ ซึ่งเป็นสไตล์หลักของภูมิใจไทย คือการลงไปดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในยามทุกข์ยาก เหตุการณ์น้ำท่วมแบบนี้ เป็นภัยธรรมชาติ แต่ถ้าเกิดความช่วยเหลือลงไปถึงมือประชาชน เขาจะรู้สึกว่าได้เห็นหน้าอยู่บ่อยๆเห็นไหมเวลาที่สส.หลายสมัยเขาสอบตก ประชาชนจะพูดแบบโอ๊ยตอนนั้นน้ำท่วมไม่เห็นหน้าเลย เพราะฉะนั้นต่อให้เกิดเหตุการณ์ความเสียหาย แต่เขาเห็นหน้าว่าคุณพยายามลงมาช่วยก็ยังอาจจะให้คะแนนอยู่เรื่องพันนี้ ประมาทไม่ได้
"สไตล์ภูมิใจไทย ในวิกฤตเนี่ยเขาสามารถสร้างโอกาสความนิยมได้ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือประชาชน"
ส่วนจะทำให้ภูมิภาคอื่นลดความนิยมพรรคภูมิใจไทยด้วยหรือไม่ ดร.สติธร ยอมรับว่า จะบอกว่าไม่กระทบเลยก็ไม่ใช่ เพราะผลจากมหาอุทกภัย คะแนนที่ปกติไม่ได้อยู่แล้ว โดยคาดหวังว่า คราวนี้พรรคแข็งแกร่งขึ้นมาได้เป็นรัฐบาล เป็นผู้นำรัฐบาลมีหัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ จะไปโกยความนิยมจากภูมิภาคต่างๆยากขึ้น
"เพราะคนอาจจะรู้สึกว่า ถ้ามีสถานการณ์ขึ้นมาพิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้เก่งเป็นพิเศษกว่ารัฐบาลก่อนๆ ถ้ามีตัวเลือกอื่นของพรรคอื่น ที่ยังไม่ได้บอบช้ำ เขาก็อาจจะไปสนใจตัวเลือกอื่น ง่ายกว่าคนที่กำลังจับงานอยู่แล้วแสดงความผิดพลาดให้เห็น ถือเป็นเรื่องธรรมชาติของการเมืองอีกเหมือนกัน"