svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ด่วน!! ปชน.เดินเกมยื่นซักฟอกทันที หลังเกมแก้ รธน.เดือด ภท.หัก MOA

ด่วน!! พรรคประชาชนเดินเกมยื่นซักฟอกทันที ส่อบีบยุบสภา หลังเกมแก้ รธน.เดือด พรรคภูมิใจไทย หัก MOA ดึงเสียง สว. 1 ใน 3 กลับมาร่วมแก้ รธน.

11 ธันวาคม 2568 การประชุมรัฐสภานัดพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ในวาระที่ 2 ภายหลังคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาปรับแก้แล้วเสร็จ โดย คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ปรับแก้เนื้อหาสาระสำคัญ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยได้มีการปรับองค์กรผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญจาก "สสร." เป็น "คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ" จำนวน 35 คน มาจากการสมัครของประชาชน ผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.
 

โดยผู้สมัครต้องมีประชาชนรับรองอย่างน้อย 100 รายชื่อ และต้องมีเอกสารแสดงวิสัยทัศน์ และอุดมการณ์ ความยาว 1 หน้ากระดาษ A4 ซึ่งเมื่อรับสมัครแล้ว กกต.จะนำข้อมูลของผู้สมัครเผยแพร่ให้ประชาชน ได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบประวัติและอุดมการณ์ จากนั้นให้ส่งรายชื่อดังกล่าวให้รัฐสภาคัดเลือก ซึ่งสมาชิกรัฐสภา สามารถรวมกลุ่ม 20 คน เพื่อเสนอชื่อกรรมาธิการร่างฯ 1 คน โดยให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 360 วัน นับแต่วันที่มีการประชุมครั้งแรก
 

นอกจากนั้น ยังกำหนดให้มี “คณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ” จำนวน 35 คน ซึ่งรัฐสภา คัดเลือกจากบัญชีรายชื่อของบุคคลที่สมัครรับคัดเลือก ด้วยสูตร 20 หยิบ 1 เช่นเดียวกัน
 

ทั้งนี้ ที่ประชุมรัฐสภา มีมติเสียงข้างมาก 328 เสียง เห็นชอบตามการปรับแก้ของกรรมาธิการฯ ในการเปลี่ยนแปลง สสร.ที่จะมาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นการใช้ "กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ" 35 คน และเห็นชอบให้มี "กรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ" จำนวน 35 คน ซึ่งรัฐสภา คัดเลือกจากบัญชีรายชื่อของบุคคลที่สมัครรับคัดเลือก ด้วยสูตร 20 หยิบ 1 ตามการปรับแก้ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เช่นเดียวกัน

ขณะที่ การพิจารณา มาตรา 256 อนุ 26 ที่นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะกรรมาธิการฯ ได้สงวนคำแปรญัตติ เพิ่มข้อความในมาตราดังกล่าว เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกวุฒิสภา ที่พ้นจากวาระแล้ว สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ได้ โดยไม่มีข้อจำกัดระยะเวลา หรือการปลดล็อกให้ สว.เลือกตั้ง สส.ได้ แต่จะลงสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาอีกไม่ได้ พร้อมรับรองสถานะของสมาชิกวุฒิสภา และกรรมการองค์กรอิสระให้คงอยู่ตามรัฐธรรมนูญ 2560 รวมถึงมาตรา 256 อนุ 28 และ 39 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเสียงของวุฒิสภา 1 ใน 3 ที่จะต้องใช้ในการคิดคำนวณการลงมติให้ความเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระที่ 1 และ 3 ด้วย

ทั้งนี้ เมื่อเข้าสู่การพิจารณามาตรา 256 อนุ 26 ที่นายพิสิษฐ์ ผู้สงวนคำแปรญัตติในมาตราและอนุดังกล่าว เพื่อปลดล็อกให้ สว.เลือกตั้ง สส.ได้นั้น ได้ขอที่ประชุมรัฐสภา ถอนคำสงวนคำแปรญัตติดังกล่าว พร้อมชี้แจงว่า การเสนอคำแปรญัตติดังกล่าว เป็นไปด้วยความปรารถนาดี เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของวุฒิสภา และกรรมการอิสระ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด เพื่อประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง
 

แต่เมื่อรายงานของคณะกรรมาธิการฯ ถูกเผยแพร่ สมาชิกวุฒิสภา เสียงส่วนใหญ่ได้ทักท้วงการสงวนความเห็นของตนเอง ซึ่งเมื่อตนได้รับฟังความเห็นจากเพื่อน สว.ส่วนใหญ่ รวมถึงเสียงของประชาชนทั่วไป อาจจะถูกตีความเป็นไปในการคลาดเคลื่อนจากเจตนาตนเอง และถูกมองเป็นดำเนินการเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และยื้ออำนาจของวุฒิสภาไว้
 

ดังนั้น เพื่อความสง่างามของรัฐสภา และเพื่อขจัดข้อสงสัยทั้งปวงว่า มีวาระซ่อนเร้นในการแก้รัฐธรรมนูญ ตนเองจึงขอยืนยันในที่ประชุม ฐานะผู้แทนปวงชนไทย และเพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ และให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้ดำเนินต่อไป ปราศจากข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน รวมถึงให้รัฐธรรมนูญ มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตนเอง จึงขอถอนคำสงวนคำแปรญัตติในมาตรา และอนุดังกล่าว ออกทั้งหมด
 

ขณะที่ ในการพิจารณามาตรา 256 อนุ 28 อำนาจของวุฒิสภาในการลงมติรับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระแรก ที่จะต้องใช้เสียง สว. 1 ใน 3 นั้น มี สส.และ สว.อภิปรายอย่างกว้างขวาง เนื่องจากกรรมาธิการฯ ได้ปรับแก้อำนาจ สว.ออก โดยให้ใช้เสียงเพียงข้างมากของรัฐสภา ในการรับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น

 

นายพิสิษฐ์ สมาชิกวุฒิสภา ผู้สงวนคำแปรญัตติในมาตราและอนุดังกล่าว เพื่อคงอำนาจ สว.ในการลงมติ 1 ใน 3 เพื่อรับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ยืนยันว่า เสียง สว. 1 ใน 3 ไม่ใช่เป็นการขัดขวางประชาธิปไตย หรือขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ แต่เป็นการคุ้มครองเสียงข้างน้อย และป้องกันไม่ให้รัฐสภา ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะอาจมีพรรคการเมืองเพียง 2 พรรค รวมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้เกิน 375 เสียง เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ เอื้อประโยชน์พวกพ้องได้ ดังนั้น การตัดเสียง สว. 1 ใน 3 ออก จึงเป็นการปูทางสู่เผด็จการรัฐสภา ใช้พวกมากลากไป ปราศจากการตรวจสอบ และไร้คนค้าน
 

เช่นเดียวกับ สมาชิกคนอื่น ๆ ที่เห็นด้วยกับการคงอำนาจ สว. 1 ใน 3 ในการลงมติรับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรก เช่น นายชินโชติ แสงสังข์ สมาชิกวุฒิสภา ที่เห็นว่า สว.ก็คือผู้แทนปวงชนไทย เพียงไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง แม้จะถูกใส่ร้ายว่า สว.มีสี ซึ่งก็เป็นสิทธิในความคิด ความชอบส่วนตัว แต่โดยระบบแล้ว สว.ไม่มีพรรคการเมือง และ สว.ยังควรเป็นองค์กรในการคานอำนาจการตรวจสอบรัฐธรรมนูญ ไม่ให้ฝ่ายการเมืองกินรวบใช้เสียงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา
 

นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย แสดงความกังวลต่อการอภิปรายของ สว.ในการพิจารณามาตราดังกล่าว เพื่อนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำฉบับใหม่ แต่ สว.ส่วนหนึ่งได้กังวลในการลงมติถึงวาระที่ 3 อีก 15 วันข้างหน้า ซึ่งจะต้องมี สว.เห็นด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 แต่การอภิปรายของ สว.วันนี้ คาดเดาได้ไม่ยากว่า จะเกิดเหตุใดขึ้น
 

ดังนั้น รัฐสภา จะยอมให้ความไม่ลงรอยเพียงประเด็นเดียวทำให้การแก้รัฐธรรมนูญ ต้องสะดุดลงหรือไม่ จึงขอเตือนสติ สส.-สว.ก่อนลงมติ และขอให้ทุกคนอยู่บนโลกของความเป็นจริงว่า เสียง สว. 1 ใน 3 ได้เกิดขึ้นแล้ว และต้องเดินตามกติกาไปให้ถึงฝั่ง และภาวนาให้กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ค่อยไปแก้ไข จึงขอให้ สส.-สว.พิจารณาก่อนตัดสินใจลงมติ ซึ่งแม้จะมีบาดแผลบ้าง แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ
 

นอกจากนั้น ในระหว่างการพิจารณามาตราดังกล่าว ยังมีการปะทะคารมกัน ระหว่างนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ สส.ฉะเชิงเทรา สส.พรรคประชาชน ที่สนับสนุนให้มีการตัดอำนาจ สว. 1 ใน 3 ในการแก้รัฐธรรมนูญออก กับนายประเทือง มนตรี สมาชิกวุฒิสภา ที่สนับสนุนให้คงอำนาจ สว.ไว้ จนถึงขั้นขู่จะคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ในวาระที่ 3
 

นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการฯ ชี้แจงกรณีที่ สว.ห่วงการตัดอำนาจ สว.ในการแก้รัฐธรรมนูญ 1 ใน 3 ออกว่า ปัจจุบันไม่มีพรรคการเมืองใดมีเสียงถึง 150 คน และในทางกลับกัน สส.ก็ห่วง สว.ที่ สส.จะต้องเจอเผด็จการวุฒิสภา มีผู้สั่งการครอบงำ สว.ได้ ซึ่งตนเห็นทั้งหมด สว.ใครสีใด ใครตัดเสื้อให้ ค่ายไหน ร้านใด ตนรู้ทั้งหมด และวันนี้ สว.อิสระ ไม่มีถึง 67 คน หาก สว.ที่มีค่ายไม่ลงมติให้ รัฐธรรมนูญก็ไม่ผ่าน
 

ดังนั้น ถ้า สว.มีความจริงใจก็ต้องมาพูดคุยกัน ไม่ใช่อีโก้สูง จะคว่ำเรือ หรือตีตก และหาก สว.ยืนกรานใช้เสียง 1 ใน 3 ตนเชื่อว่า สังคมจะไม่ยอมรับ เพราะประชาชนเชื่อไปแล้วว่า สว.จำนวนมากถูกครอบงำโดยพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งเป็นปัญหาไม่แตกต่างจากการรัฐประหาร ก่อนที่จะขอให้รัฐสภา หาทางออกร่วมกัน เพราะมิเช่นนั้น อาจต้องเจอทางตันในการแก้รัฐธรรมนูญ ก่อนจะย้ำว่า หากยังคงต้องใช้เสียง สว. 1 ใน 3 ก็ไม่ต้องรอ 15 วันให้ สว.คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ โดยตนเองคว่ำตั้งแต่วันนี้ และยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจให้จบ ๆ กันไปทันที ดังนั้น จึงขอให้รัฐสภาได้พูดคุยหาทางออกร่วมกัน เพื่อหาจุดร่วม ก่อนที่สิ่งที่พยายามมา จะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้
 

ทีมสีน้ำเงิน แท็กทีม 312 : 290 เสียง ดึงเสียง สว. 1 ใน 3 กลับมาร่วมแก้ รธน. ที่ประชุมวุ่น! ขอนับคะแนนใหม่ - "เท้ง" ลั่นรับไม่ได้ ขู่นายกฯ ยุบสภา
 

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่า พรรคประชาชน ไม่สามารถยอมรับอำนาจเสียง 1 ใน 3 ของวุฒิสภาในการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ซึ่งหากเสียงโหวตส่วนใหญ่ของสมาชิกรัฐสภา กลับมติกรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก ไปใช้เสียง สว. 1 ใน 3 ให้กลับมาลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พรรคประชาชนไม่สามารถยอมรับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เดินเข้าสู่วาระ 3 ได้ และในฐานะฝ่ายค้านเสียงข้างมากต้องร้องขอให้นายกรัฐมนตรียุบสภา
 

ฉะนั้น จึงไม่สามารถฟังความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาเพียงบางส่วนได้ และขอให้พรรคภูมิใจไทยพิจารณาชั่งน้ำหนักให้ดี เพราะเงื่อนไขของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ไม่สามารถยอมรับเสียง สว. 1 ใน 3
 

ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ยังเสนอตัวเลือกให้พรรคภูมิใจไทย ลงมติงดออกเสียง หรือลงมติสนับสนุนการตัดเสียง สว. 1 ใน 3 ออก และใช้เวลาก่อนที่รัฐสภาจะมีการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ไปโน้มน้าวสมาชิกวุฒิสภา โดยพรรคประชาชนก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ แต่หากพรรคภูมิใจไทย ยังคงยืนยันจะคงอำนาจเสียงวุฒิสภา 1 ใน 3 พรรคประชาชนก็ไม่สามารถเชื่อได้ว่าพรรคภูมิใจไทย จะทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นจริง 
 

ด่วน!! ปชน.เดินเกมยื่นซักฟอกทันที หลังเกมแก้ รธน.เดือด ภท.หัก MOA
 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้น ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับการปรับแก้ของกรรมาธิการในการตัดอำนาจ สว. 1 ใน 3 ออกด้วยมติ 312 ต่อ 290 เสียง ซึ่งหมายความว่า ที่ประชุมรัฐสภา เห็นด้วยกับการปรับแก้ของคณะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย
 

ทำให้ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขอใช้ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ในการนับคะแนนใหม่ เนื่องจากคะแนนเสียงต่างกันไม่ถึง 30 คะแนน ซึ่งที่ประชุมจะต้องมีการลงคะแนนใหม่เป็นการขานรายชื่อรายบุคคล ทำให้ที่ประชุมต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการนับคะแนน หรือลงคะแนนใหม่
 

ด่วน!! ปชน.เดินเกมยื่นซักฟอกทันที หากคืนนี้ ภท.โหวตไม่ตัดอำนาจ สว. - ล่าสุดเตรียมเรียก สส. เข้าสภาล่ารายชื่อแล้ว
 

ภายหลังจากการโหวต มาตรา 256/28 ที่มติที่ประชุมรัฐสภาไม่เห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก ในการใช้เสียงกึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภา เห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้กลับไปใช้เสียง สว. 1 ใน 3  มีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  โดยมีเสียง สส.พรรคภูมิใจไทย ไปร่วมโหวตพลิกมติกรรมาธิการเสียงข้างมากด้วยนั้น
 

ล่าสุด เวลา 20.00 น. ทางแกนนำพรรคประชาชนได้ตามตัว สส.พรรคประชาชนให้ไปร่วมลงชื่อ เพื่อเสนอญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 แบบลงมติทันที


สว.ลั่นไม่ถอย ไม่ปล่อย รธน.ผ่าน - คาดยุบสภาเช้านี้
 

แหล่งข่าวจากแกนนำผู้คุมเสียง สว. ระบุว่า ทาง สว.อ่านเกมไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ทางพรรคประชาชนจะเล่นเกมนี้ ทั้งๆ ที่ สว.ยอมถอย ในมาตรา 256 อนุ 26 ด้วยการถอนคำแปรญัตติที่สงวนไว้ เพื่อปลดล็อก สว.ชุดนี้ ให้ลงสมัคร สส. และดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ หลังมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งถือว่า สว.ยอมถอย 1 ก้าว 
 

แต่เมื่อถึงมาตรา 216 อนุ 28 ที่มีการสงวนคำแปรญัตติให้คงเสียง สว. 1 ใน 3 ในการรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญที่ยกร่างขึ้นใหม่ ปรากฏว่าทางพรรคประชาชนไม่ยอม เมื่อโหวตแพ้ และแพ้ไม่ถึง 30 เสียง ก็เสนอให้ลงคะแนนใหม่แบบขานชื่อ ฉะนั้นจึงถือว่า พรรคประชาชนต้องการควบคุมกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งหมด โดยไม่สนใจเสียงข้างน้อย ฉะนั้น สว.ก็ไม่ยอมถอยเช่นกัน 
 

แกนนำ สว. “ผู้คุมเสียง” บอกด้วยว่า เท่าที่ทราบมีคนเห็น “ผู้นำจิตวิญญาณแถว 1” ของพรรคสีส้ม มาบัญชาการอยู่ด้านหลังบัลลังก์ เพื่อเดินเกมให้เป็นแบบนี้ และชิงความชอบธรรมด้วยการให้ลงคะแนนใหม่แบบขานชื่อ หวังจะให้มีหลักฐานนำไปขยายต่อในโลกออนไลน์ ฉะนั้นจึงเชื่อว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม คงไปต่อไม่ได้ เพราะถึงพรรคประชาชนพลิกมาชนะโหวตวันนี้ เมื่อพ้น 15 วัน สว.ก็จะตีตกในวาระสามอยู่ดี เพราะเชื่อว่าเสียงเห็นชอบจะไม่ถึง 67 เสียง คาดว่านายกรัฐมนตรีจะทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภา และมีผลในวันพรุ่งนี้ (วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม) ซึ่งเป็นวันเปิดสมัยประชุมสภาสมัยสามัญ เมื่อมีการเปิดสมัยประชุม ก็น่าจะมีประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาทันที 
 

เผย “อนุทิน” ส่งสัญญาณ “บิ๊กราชการ” ล่วงหน้าแล้ว 
 

มีประเด็นน่าพิจารณาว่า หาการยุบสภาเกิดขึ้นจริง รัฐบาลอนุทิน จะกลายเป็นรัฐบาลรักษาการ จะส่งผลต่อสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาหรือไม่ 
 

ประเด็นนี้ มีข้อสังเกตคือ ในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการเมื่อไม่นานมานี้ นายกฯ อนุทิน ได้กล่าวกับหัวหน้าส่วนราชการตอนหนี่ง ตีความได้ว่า หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ได้สอบถามเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาไว้หมดแล้วว่า สามารถทำอะไรได้บ้าง สรุปว่ารัฐบาลยังมีอำนาจเต็มในการดูแลสถานการณ์ที่เป็นภัยร้ายแรงทางความมั่นคง ฉะนั้นจึงไม่กระทบกับเรื่องไทย-กัมพูชาอย่างแน่นอน