svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

กมธ.ปปช.เตรียมเชิญ รมว.ศธ.แจงปมจ้างพิมพ์แบบเรียนพันล้านอีก

กมธ.ปปช.เตรียมเชิญ รมว.ศธ.แจงปมจ้างพิมพ์แบบเรียนพันล้านอีกครั้ง จี้ฟันมือปั้นทีโออาร์ผิด กม.จัดซื้อฯ พร้อมเห็นใจ รมว.ศธ.เพิ่งคุม ศธ.บางเรื่องอาจยังไม่ลึกซึ้ง

นายปรีติ เจริญศิลป์ สส.นนทบุรี พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงการประชุมกรรมาธิการฯ ที่มีนายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ เป็นประธานในการประชุมว่า กรรมาธิการฯ ได้เชิญนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มาชี้แจงในการติดตามตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างขององค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะโครงการจัดจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่องค์การค้าฯ เป็นผู้ดำเนินการในทุก ๆ ปีการศึกษา แต่ละปีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านบาท ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และข้อร้องเรียนที่ส่งมายัง กรรมาธิการฯ และหน่วยงานตรวจสอบต่าง ๆ จำนวนมาก แต่น่าเสียดายที่รัฐมนตรีฯ ไม่ได้มาชี้แจง ซึ่งขณะนี้ องค์การค้าฯ ก็กำลังเริ่มดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของปีการศึกษา 2569 วงเงินงบประมาณ 1,010 ล้านบาท น่าจะเป็นโอกาสที่กรรมาธิการฯ จะได้แลกเปลี่ยนข้อมูล และฝากข้อห่วงใยให้กับรัฐมนตรีฯ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการ สกสค.โดยตรง เนื่องจากโครงการนี้มักมีประเด็นข้อครหาทุกปีการศึกษา

“เชื่อว่ารัฐมนตรีคงติดภารกิจจริงๆ เพราะที่ กมธ. เรียนเชิญมาร่วมประชุมนั้น ก็ไม่ได้เป็นลักษณะการตรวจสอบ แต่อยากให้ รมว.ศึกษาธิการ นำข้อมูล หรือชี้แจงในบางประเด็นที่ยังไม่ได้คำตอบ หรือเอกสารอ้างอิงจากทาง ผู้แทนองค์การค้าฯ ที่เคยรับปาก กมธ.ฯไว้ แต่ยังไม่ได้ส่งมา รวมทั้งถือโอกาสฝากข้อคิดเห็น และข้อห่วงใย เพื่อให้ท่านรัฐมนตรีนำไปกำกับดูแลให้การผลิตหนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาฯ ทั้งปีการศึกษาหน้า และต่อๆไป ให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ” นายปรีติ ระบุ

 

นายปรีติ กล่าวด้วยว่า กรณีการตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของ องค์การค้าฯ มีการนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมกรรมาธิการฯ หลายครั้งซึ่งก็มี ผู้แทนองค์การค้าฯ ผลัดเปลี่ยนเข้ามาชี้แจงในที่ประชุมฯ แต่ก็ยังมีหลายประเด็นที่ผู้แทนองค์การค้าฯ ไม่สามารถชี้แจงได้ หลายเรื่องก็ขอกลับไปค้นข้อมูลเพื่อนำส่งเป็นเอกสาร แต่ก็ยังส่งมาให้ไม่ครบ จนกรรมาธิการฯ ต้องไปสืบค้นขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นแทน อย่างกรณีค่าลิขสิทธิ์แบบเรียนของ สพฐ. ที่เพิ่งพบว่า องค์การค้าฯ ค้างจ่ายมากว่า 10 ปี ยอดรวมกว่า 219 ล้านบาท ที่น่าตกใจคือ 2 หน่วยงานไม่ได้ทำสัญญาข้อตกลงระหว่างกัน ทั้งที่มีกำหนดไว้ในระเบียบกระทรวงศึกษาฯ รวมทั้งยังได้ข้อมูลมาว่าตลอดเกือบ 10 ปีมานี้ ทาง สพฐ.ก็ไม่มีการทวงถามเป็นกิจลักษณะ ส่วน องค์การค้าฯ เองก็ไม่แจ้งผลัดผ่อนการชำระหนี้เหมือน ต่างจากค่าลิขสิทธิ์หลักสูตรของ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ที่ องค์การค้าฯ ชำระครบถ้วนทุกๆปี ทั้งที่อ้างอิงระเบียบกระทรวงศึกษาฉบับเดียวกัน กรณีเช่นนี้จะดำเนินการอย่างไร

นายปรีติ ยังกล่าวอีกว่า การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน กรมบัญชีกลาง ได้วินิจฉัยว่า การกำหนดขอบเขตงาน (ทีโออาร์) ของโครงการฯ ปีการศึกษา 2567 และปีการศึกษา 2568 ขัดต่อมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 (พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ) มีลักษณะกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งเมื่อมีการแจ้งผลพิจารณาให้แก่ทาง สกสค. รับทราบเพื่อดำเนินการต่อไปมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการตรวจสอบแสวงหาข้อเท็จจริง หรือการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการร่างทีโออาร์ที่เนื้อหาขัดต่อกฎหมาย ตลอดจนไล่ตรวจสอบความเชื่อมโยงของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งข้าราชการ และเอกชน เพราะหลายข้อบ่งชี้ทำให้เชื่อได้ว่า อาจมีลักษณะเข้าข่ายการทุจริตเป็นขบวนการ เชื่อว่าหลายๆข้อมูลที่กรรมาธิการฯ ได้มาจากแหล่งอื่น เป็นข้อมูลที่รัฐมนตรีฯ อาจจะไม่ได้รับรายงานที่ครบถ้วนจากข้าราชการ 

 

“เพื่อประโยชน์ต่อวงการศึกษา บุคลากรทางการศึกษา และน้อง ๆ นักเรียนอนาคตของชาติ ในการผลักดันโครงการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2569 และปีต่อ ๆ ไป มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในแง่คุณภาพแบบเรียน และงบประมาณที่ต้องสูญเสียไปกรรมาธิการฯ จึงมีมติเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการร่วมการประชุมกรรมาธิการฯ อีกครั้งในวันที่ 3 ธันวาคม 2568 นี้ เพื่อเรียกข้อมูลจากหน่วยงานมาชี้แจงต่อกรรมาธิการฯ พร้อมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น รวมถึงข้อห่วงใยจากกรรมาธิการฯ ไปปรับจูนโครงการฯ ให้ถูกต้องตั้งแต่ต้นจนจบ” นายปรีติ กล่าว

 

นายปรีติ ยืนยันว่า การทำหนังสือเชิญรัฐมนตรีฯ ครั้งนี้เป็นเพียงการเชิญมาแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดเห็นเท่านั้น ไม่ใช่การเชิญมาเพื่อตรวจสอบ จึงไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.คำสั่งเรียกคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2568 แต่อย่างใด และเห็นใจรัฐมนตรีฯ ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง และต้องมาเจอกับปัญหาเรื้อรังเช่นนี้ นอกจากนี้ในหนังสือฉบับเดียวกันนี้ก็ได้ระบุถึงประเด็นที่จะสอบถาม อาทิ แนวนโยบายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างขององค์การค้าฯ และแนวทางดำเนินการตามผลพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน กรมบัญชีกลาง เป็นต้น พร้อมทั้งแนบรายงานการติดตามตรวจสอบองค์การค้าฯ ที่ผ่านมาของกรรมาธิการฯ เพื่อรัญฐมนตรีฯ จะสามารถเรียกข้อมูลมาประกอบการชี้แจงได้อย่างตรงประเด็น 

 

“ส่วนการที่ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะประธานบอร์ด สกสค.ให้นโยบายในการเชิญหน่วยงานตรวจสอบ อาทิ ป.ป.ช. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ), สตง. (สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) รวมถึงองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ACT) ร่วมสังเกตการณ์กระบวนการโครงการจ้างผลิตแบบเรียนของปี 2569 ก็บ่งชี้ว่า รัฐมนตรีฯ รับทราบถึงปัญหา เพราะหาก องค์การค้าฯ ตรงไปตรงมาตามหลักการ และระเบียบ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ยึดถือการประมูล E-Bidding อย่างเคร่งครัด ไม่คิดหาวิธีพิสดารมายกเลิกประกาศประกวดราคา เพื่อที่จะเปลี่ยนไปใช้วิธีการคัดเลือก ซึ่งโปร่งใสน้อยกว่า เพียงเท่านี้ก็คงไม่จำเป็นต้องไปรบกวนหน่วยงานอื่นต้องมาคอยจับผิดเช่นนี้” นายปรีติ ระบุ