
9 พฤศจิกายน 2568 สืบเนื่องกรณีนายทันกวินท์ รัฐวัฒน์อังกูร สมาชิกพรรคกล้าธรรม ยื่นคำร้องขอให้ กกต.อายัดบัญชีพรรคประชาชน ฉบับลงวันที่ 6 ตุลาคม 2568 อ้างว่า เงินค่าสมัครสมาชิกพรรคที่ได้มาโดยมิชอบ อันเป็นความผิดกระทำผิดตามมูลฐานฟอกเงินตาม พรบ. ปปง. พ.ศ.2542 โดยขอให้ กกต.อายัดเงินที่ได้มาโดยมิชอบ โดยนายไผ่ ลิกค์ สส. กำแพงเพชรและเลขาธิการ พรรคกล้าธรรม ออกมาสนับสนุน ทำให้ประชาชนถกเถียงกันว่า กกต.อายัดเงินบัญชีพรรค ปชน. รวมถึงยุบพรรคประชาชนได้หรือไม่
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า สมาชิกภาพของความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เริ่มตั้งแต่ได้ “ชำระค่าบำรุงพรรคการเมือง” ตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อบังคับของพรรคการเมืองนั้น เป็นไปตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง
การชำระค่าสมัครสมาชิกแทนกัน “ไม่สามารถกระทำได้” โดยกฎหมายพรรคการเมืองห้ามจูงใจในการสมัครสมาชิกพรรค โดยบัญญัติ “ห้ามมิให้ผู้ใด เรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากพรรคการเมืองหรือจากผู้ใดเพื่อสมัครเป็นสมาชิก” ตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 31
ผลทางกฎหมาย มีโทษอาญาและตัดสิทธิทางการเมือง ตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 109 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งผู้นั้นมีกำหนด 5 ปี
พูดภาษาชาวบ้าน คือ กฎหมายพรรคการเมือง ห้ามสมาชิกพรรคหรือพรรคการเมือง จูงใจให้ประชาชนสมัครเป็นสมาชิกพรรคโดยจ่ายเงินแทนกัน โดยพรรคการเมืองนั้น ห้ามกระทำโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกหรือปรับและถูกตัดสิทธิทางการเมือง
ในทางความเป็นจริง ประชาชนขาดการมีส่วนร่วมทางการเมือง หากพรรคไม่จ่ายเงินค่าสมัครสมาชิกพรรคให้ โอกาสที่จะหาสมาชิกพรรคมาเติมตัวเลขกันค่อนข้างยาก แม้กฎหมายพรรคการเมือง ออกแบบให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชนโดยการชำระค่าบำรุงพรรค เป็นฐานคิดที่เป็นจุดเริ่มต้นเป็นสมาชิกภาพของสมาชิกพรรคการเมืองนั้น
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเจตนารมณ์กฎหมายพรรคการเมือง เพื่อให้ประชาชนที่เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด ให้มีส่วนร่วมกันเป็นเจ้าของพรรค เพื่อป้องกันธุรกิจการเมืองที่พรรคการเมืองเป็นของนายทุน จึงบัญญัติให้สมาชิกต้องจ่ายเงินค่าบำรุงสมาชิกพรรค ไม่ว่าจะเป็นรายปี หรือตลอดชีพ โดยกำหนดรายปี 20 บาท และตลอดชีพ 200 บาท รวมถึงห้ามบุคคลภายนอกห้ามครอบงำพรรค ตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 28,29
ปมตามคำร้อง นำเงินที่ได้มาจากนิติกรรมอำพรางโดยตั้งผู้ช่วย สส.ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข โดยนำเงินที่ได้มาโอนให้แก่พรรค ปชน.เพื่อชำระเป็นเงินค่าสมัครสมาชิกพรรค เพื่อปั่นทำยอดสมาชิกพรรคเพื่อหวังเป็นแกนนำประจำจังหวัด
ต้องแยกกันระหว่าง ปมการตั้งผู้ช่วย สส. หากไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่สภากำหนดไว้ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรใช้อำนาจในการตรวจสอบคุณสมบัติ หากพบว่า ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขจริง ย่อมใช้อำนาจในการเพิกถอนการแต่งตั้งผู้ช่วย สส.รายนั้น โดยเรียกเงินค่าตอบแทนคืนย้อนหลังได้
ส่วนเงินที่ผู้ช่วย สส.รายนั้น เมื่อได้เงินมาได้โอนให้แก่ สส.รายนั้นเป็นรายเดือน โดย สส.รายนั้น ได้โอนเงินไปชำระค่าบำรุง พรรค ปชน.แทนสมาชิกพรรคที่จัดหาได้ ถือเป็นการออกเงินให้แก่บุคคลอื่น ในการสมัครสมาชิกพรรค ปชน. ย่อมเป็นกระทำฝ่าฝืน พรป.พรรคการเมือง ตามมาตรา 31 ประกอบ มาตรา 109
หาก ผู้ช่วย สส.ที่แต่งตั้ง ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข หากฟังได้ว่า เงินที่โอนให้แก่พรรค ปชน.โดยตรง เป็นการโอนเงินเข้า “บัญชีพรรค ปชน.เพื่อการบริจาค” หากเงินบริจาค เกิน 5,000 บาท เหรัญญิกพรรค จะต้องลงบัญชีพรรคประจำรายเดือนและหัวหน้าพรรค จะต้องรายงานและแจ้งเงินบริจาคให้แก่นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบ เป็นไปตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 65 หากฝ่าฝืนเป็นไปตามมาตรา 122 มีโทษปรับ 50,000 บาท และปรับวันละ 1,000 บาทตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน
หากเป็นการโอนเงินเข้า “บัญชีพรรค ปชน.” โดยตรง มิใช่บัญชีเพื่อการบริจาค อาจรับฟังได้ว่า เป็นการชำระเงินค่าสมาชิกแทนกันจริง ไปเพิ่มน้ำหนักเนื้อหาตามคำร้องฝ่ายผู้ร้องว่า มีพฤติกรรมออกเงินแทนกันเพื่อชำระค่าสมัครสมาชิกพรรค จริง จะมีความผิดทางอาญาและตัดสิทธิ์ทางการเมือง
โดยกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 72 ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงในพรรคการเมืองรับบริจาค เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีโทษแก่ กก.บห.ในมาตรา 126 ระวางโทษจำคุก 3 ปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทและถูกตัดสิทธิทางการเมือง ส่วนพรรคการเมือง ถูกยุบตาม มาตรา 92 (3)
หากพิจารณาถึงเงื่อนไขในการยุบพรรค ตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 92 (3) ปมออกเงินค่าสมาชิกพรรคแทนกัน และ กกต.ไต่สวนแล้ว ฟังว่า เป็นจริง สส.ปชน.รายนั้น เป็นการฝ่าฝืนพรป. พรรคการเมือง ย่อมมีความผิดอาญาและถูกตัดสิทธิทางการเมือง
ส่วนพยาหลักฐานจะถึงขั้นถูกยุบพรรค ปชน.หรือไม่ กกต.ต้องตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน โดยใช้ระเบียบ กกต.ว่าด้วย การรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียน กกต. พ.ศ.2566 เป็นเกณฑ์ในการตรวจสอบการยุบพรรค
การพิสูจน์พยานหลักฐาน เป็นหน้าที่ของผู้ร้อง ต้องพิสูจน์ให้ได้ความว่า หัวหน้าพรรค เหรัญญิกพรรค รับเงินบริจาค รู้หรือควรจะรู้ว่า เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฝ่ายพรรคการเมือง พิสูจน์แต่เพียงว่า ตนไม่ทราบ รับเงินโดยสุจริต ไม่ทราบที่มาของเงินเท่านั้น
เคยมีตัวอย่าง ในคดียุบพรรคภูมิใจไทย โดยนายสยาม ชิดชอบ อดีต เลขาพรรคภูมิใจไทยและอดีต รมว.คมนาคม ถูกกล่าวหาว่า บริจาคเงินได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายทะเบียน กกต.ยกคำร้อง เพราะผู้ร้องไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า พรรคภูมิใจไทย รู้หรือควรจะรู้ที่มาของเงินบรจาค
ส่วนเงินที่ได้มาจากการแต่งตั้งผู้ช่วย สส.รายดังกล่าว ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข โดย ผู้ช่วย สส.รายดังกล่าว ได้ทำธุรกรรมโอนเงินให้แก่พรรค ปชน. หรือโอนให้แก่ สส. พรรคปชน. หากฟังได้ว่า ผู้ช่วย สส.รายนั้น ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดและได้ส่งมอบเจตนาบริจาคเงินโดยสุจริต ผู้ช่วย สส.รายนั้น ไม่มีความผิดทางอาญา แต่หากทราบมาแต่แรก ถือว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิด เพราะแบ่งหน้าที่กันทำ
สส.ปชน.รายดังกล่าว หากที่มีเจตนาทุจริตมาแต่แรก ต้องการได้เงินรัฐที่เป็นค่าตอบแทนมาเป็นของตนเอง โดยนำเงินที่ได้มา เพื่อปั่นยอดสมาชิกให้แก่พรรค ปชน. โดยใช้ ผู้ช่วย สส.เป็นเครื่องมือในการได้เงินรัฐนั้นมา เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่ง เจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เป็นการกระทำผิดตาม พรป.ปปช.มาตรา 172
ความผิดฐานเจ้าพนักงานเป็นความผิดในตัว ประชาชนไม่อาจเป็นตัวการกระทำความผิดได้ เป็นเพียงผู้สนับสนุน แต่ตำแหน่งผู้ช่วย สส.ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วย สส.และได้รับเงินค่าตอบแทนรายเดือนจากรัฐ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ เคยวางแนวไว้เป็นบรรทัดฐาน คำสั่งแต่งตั้งแม้ไม่ได้รับค่าตอบแทน ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ตาม พรป.ป.ป.ช. มาตรา 4 เป็นตัวการร่วม
ส่วนเงินที่ได้ชำระค่าสมัครสมาชิกพรรคแทนกัน เมื่อกรรมสิทธิ์ในเงินให้แก่พรรคแล้วที่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ย่อมถือว่าเงินเป็นกรรมสิทธิ์ของพรรค ปชน. หากเป็นการชำระเงินให้แก่พรรค ปชน.ตามอำเภอใจ จะเรียกคืนฐานลาภมิควรได้ หาได้ไม่ หากเจ้าของเงินแท้จริง จะเรียกคืนได้ ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า หัวหน้าพรรค เหรัญญิกพรรค รู้หรือควรจะรู้ถึงการชำระเงินแทนกันนั้น
ดังนั้น เงินที่ชำระแทนกัน กกต.หรือ ปปง. ไม่มีอำนาจในการอายัดเงินของพรรค ปชน.ได้ แม้จะถูกตราหน้าว่า “บัญชีพรรคเป็นบัญชีม้า” ก็ตาม
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะพรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย หากรับบริจาคเงินที่ได้มาโดยมิชอบ หัวหน้าพรรค เหรัญญิกพรรค หรือ กก.บห.พรรคการเมือง จะต้องได้ความว่า รู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ในเชิงพยานหลักฐาน ค่อนข้างพิสูจน์ยาก
หากฟังได้เพียงว่า เงินที่จ่ายแทนกัน มิใช่เงินบริจาค เป็นเพียงกระทำโดยพลการของ สส.รายนั้น ย่อมถูกตัดตอนถึงพรรค ปชน.
เหตุตามคำร้อง ยังไม่เป็นเหตุในการอายัดเงินพรรค ปชน. โดยรูปคดีและหลักการรับฟังพยานหลักฐานฝ่ายผู้ร้อง แม้ กกต.จะใช้ระบบไต่สวน อาจไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพียงพอถึงขั้น “ยุบพรรค ปชน.”