
4 พฤศจิกายน 2568 มีรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีผู้ยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นหนังสือคำร้องเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ขอให้อายัดบัญชีพรรคประชาชน และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดมูลฐาน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยระบุว่า
ตามหนังสือที่อ้างถึง ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสั่งยุบพรรคประชาชน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 เนื่องจากปรากฏพยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า มีการปกปิดแหล่งที่มาของเงินบริจาค ด้วยวิธีการจ่ายเป็นเงินค่าสมัครสมาชิกพรรคการเมือง ซึ่งอาจถือเป็นการบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ความละเอียดแจ้งแล้วนั้น
กรณีเงินค่าสมัครสมาชิก ซึ่งทำธุรกรรมจากบัญชีของผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น เป็นเงินที่อาจได้มาจากการที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่งรายชื่อให้สำนักงานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำเงินค่าตอบแทนเข้าบัญชีช่วยดำเนินงานประจำตัว ทั้งที่มิได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอันแสดงเจตนาทุจริต ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อให้ได้ทรัพย์ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นโดยทุจริต อันเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2546
เมื่อความปรากฏว่า พรรคประชาชนซึ่งได้จัดตั้งขึ้นเป็นนิติบุคคล ที่ต้องมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่กลับมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 การกระทำที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ย่อมเป็นความผิดต่อรัฐให้ได้รับความเสียหายเป็นอย่างยิ่ง และสำนักงานสภาผู้แทนราษฎร พึงได้รับทรัพย์ที่ถูกหลอกลวงโดยทุจริตนั้นคืนแก่รัฐ หากปล่อยให้บัญชีพรรคประชาชน ยังคงทำธุรกรรมต่อไปก็อาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้น และไม่สามารถติดตามทรัพย์นั้นคืนแก่รัฐได้
ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินการของพรรคการเมืองให้ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หากปล่อยให้มีการดำเนินธุรกรรมอยู่ ก็อาจส่งผลเสียหายยิ่งขึ้น และเพื่อประโยชน์แก่การสืบสวน สอบสวน หรือไต่สวน แล้วแต่กรณี จึงขอได้โปรดรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน พร้อมทั้งเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อพิจารณาให้มีการอายัดบัญชีพรรคประชาชน และดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องดังกล่าว อันเกี่ยวกับความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
อนึ่ง ตำแหน่ง ผช.สส. มีจำนวน 5 คน และ ผู้ชำนาญ 2 คน ผู้เชี่ยวชาญ 1 รวม 8 คน โดยจะได้รับค่าตอบแทน ตามระเบียบรัฐสภา
แต่ปรากฏว่า สส.พรรคประชาชนทุกคน (ซึ่งไม่รู้ว่าได้คำสั่งมาจากใครหรือไม่) กลับหักเงิน ผช.สส.ไปไว้ให้คณะทำงานแต่ละจังหวัดทำงานในพื้นที่ โดยอ้างว่าไม่ผิดกฎหมาย เพราะทำงานให้ สส.ในพื้นที่เหมือนกัน
สส.บัญชีรายชื่อ หักเงิน ผช. 4 คน สส.เขต หัก 1 คน ความปรากฏ ถูกร้องเรียน เพราะ ผช.สส.หักเงินตัวเองให้คนสมัครสมาชิกพรรค เพื่อเคลมว่ามีสมาชิกเยอะๆ จะได้ลง สส.
-เป็นการใช้เงินผิดประเภท ตามระเบียบการเงินการคลังสภา / งบประมาณแผ่นดิน
-ผิด พรป.พรรคการเมือง
-ผิด กม.ฟอกเงิน
(1) บัญชีการเงินของพรรคการเมือง ประกอบด้วย (1)บัญชีพรรคการเมือง (2)บัญชีพรรคเพื่อการบริจาค (3)บัญชีเพื่อการสนับสนุนกองทุนพัฒนาการเมือง
(2) กรณีผู้ร้องอ้างว่า เงินสมาชิกที่ได้มาโดยมิชอบ หมายถึง บัญชีพรรคการเมือง ผู้ที่มีหน้าที่ตรวจว่า เงินในบัญชีได้มาโดยชอบหรือไม่ เป็นอำนาจ กกต.ในการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ หากฟังว่า เงินที่ได้จากสมาชิกไม่ชอบ ถือว่า เงินเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิด ที่ได้มาซึ่งสมาชิกโดยมิชอบ พรรคจะถูกดำเนินคดีอาญาฐานสมัครสมาชิกโดยมิชอบ ตามกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 31
(3) การถูกกล่าวหาว่าฟอกเงิน เป็นบัญชีม้า อำนาจในการยึดหรืออายัด เป็นอำนาจ ปปง.มิใช่ กกต. ดังนั้น ยึดหรืออายัดบัญชีไม่ได้
(4) เงินค่าบำรุงพรรค เมื่อชำระค่าสมาชิกถือว่า กรรมสิทธิ์ในเงินตกเป็นของพรรค เมื่อเพิกถอนสมาชิกพรรคในภายหลัง ไม่ทำให้เงินนั้นกลับคืนแก่เจ้าของ เพราะเป็นการจ่ายแทนกันตามอำเภอใจเ รียกคืนลาภมิควรได้ มิได้
(5) ไม่เข้าหลักเกณฑ์ยุบพรรคมาตรา 92(3)
(6) การจ่ายค่าสมาชิกแทนกัน มิใช่เป็นเงินบริจาคให้พรรค
(7) หากเป็นการบริจาคเงิน หากบริจาคจริงและเกิน 5,000 บาท กก.บห.มีหน้าที่ลงบัญชีพรรคและแจ้งต่อ กกต.ภายในระยะเวลาที่กำหนด
ที่มา ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน