
31 ตุลาคม 2568 ภายหลังที่ประชุมพรรคเพื่อไทย มีมติเลือก นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ เพื่อกอบกู้พรรคและสู้ศึกเลือกตั้งในปี 2569
ผศ.ดร.เชษฐา ทรัพย์เย็น ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และอดีต ผอ.เนชั่นโพล วิเคราะห์โอกาสของ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ในการรื้อฟื้นพรรคเพื่อไทยสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า ภายหลังได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นให้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่
จุดเด่นของ นายจุลพันธ์ ที่จะนำพาพรรคเพื่อไทยยามวิกฤต
1. ความเป็นรุ่นใหม่ + ผลงานทางเศรษฐกิจในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ
- คุณจุลพันธ์มีประวัติการศึกษาดี จบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และ MBA จากอเมริกา
- เคยผ่านงานการเป็น รมช.คลัง ดูแลนโยบายเรือธงของรัฐบาลเพื่อไทย เรื่องเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- ถือว่าเป็นผู้นำพรรคที่มี background ด้านเศรษฐกิจ เหมาะกับยี่ห้อเพื่อไทยที่คนยังจำได้ว่าเป็นพรรคเน้นแก้เศรษฐกิจ
2. โอกาสในการ “ยกเครื่องพรรค” และสื่อสารภาพลักษณ์ใหม่ๆ ของเพื่อไทยต่อสังคม
- ต้องมุ่งมั่นภารกิจ “ยกเครื่อง” ซึ่งไม่ใช่ภารกิจทางเลือก แต่เป็น “ภารกิจจำเป็นอย่างยิ่ง”
- ถ้าไม่ทำจะสู้ศึกเลือกตั้งลำบาก
- หากพรรคสามารถปรับภาพลักษณ์ สื่อสารภาพใหม่ ตอบโจทย์ประชาชนรุ่นใหม่ สร้างนโยบายที่จับต้องได้อีกครั้ง ก็มีโอกาสดึงฐานเสียงเดิมกลับมาให้สนับสนุน
แต่ “โอกาส” ย่อมมาพร้อมกับ “อุปสรรค” และ “ความท้าทาย” กล่าวคือ
1. การแบกภาระภาพลักษณ์พรรคที่สะสมมาจากอดีต
- ภาพความเป็นพรรคของคนตระกูลเดียว คือ “ตระกูลชินวัตร”
- ภาพการบริหารเหมือน “บริษัทส่วนตัว” ตัดสินใจสูงสุดโดย “นายใหญ่”
- การจัดการภายในเป็นไปตามความต้องการเฉพาะของตระกูลชินวัตรมายาวนาน
เหล่านี้ถือเป็นอุปสรรคในการสร้างความเชื่อมั่นใหม่ในสายตาคนกลุ่ม Gen Y และ Gen Z เพราะคนกลุ่มนี้มีค่านิยมที่แตกต่างออกไป เช่น ชอบเสรีภาพ ไม่ชอบอยู่ภายใต้การสั่งการของคนเพียงคนเดียวหรือตระกูลเดียว ชอบการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ ไม่ถูกปิดกั้น
ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป คนสองเจเนอเรชันนี้เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งรวมกันราวๆ 25 ล้านคน จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งประมาณ 50 ล้านต้นๆ
2. การแข่งขันทางการเมืองที่เข้มข้น และเงื่อนไขทางการเมืองที่เปลี่ยนไป
- ถือเป็นครั้งแรกของพรรคเพื่อไทยที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้งในฐานะ “เต็งสาม” หรือ “พระรอง” (เต็ง 1&2 ยกให้พรรคส้มกับน้ำเงิน)
- พรรคแดงไม่ใช่เต็งหนึ่งเหมือนทุกครั้งตลอดกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา
- เพื่อไทยอาจไม่ชินกับบริบทและเงื่อนไขแบบนี้ในการต่อสู้ จึงต้องวางยุทธศาสตร์ที่คมคายมากๆ ที่จะชิงฐานเสียงมาจากสองพรรคเต็ม 1 กับ 2
ถือเป็นงานหินที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งพรรคมา
3. ทำอย่างไรที่จะสร้างสมดุลภายในพรรค ไม่จุดประกายแรงกระเพื่อมใหม่ภายใน เพราะยิ่งใกล้เลือกตั้ง การเกิดแรงกระเพื่อมใหม่จะเหมือน “สึนามิ” ที่มาบั่นทอนพรรค
อาจารย์เชษฐา เสนอว่า พรรคเพื่อไทยต้องทำยุทธศาสตร์หลัก 3 ด้านให้เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งท้าทายอย่างยิ่งต่อบทบาทของหัวหน้าพรรคคนใหม่อย่างนายจุลพันธ์ นั่นคือ…
1. รีแบรนด์ (Rebranding) ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย ดึงคนรุ่นใหม่ Gen Y Gen Z กลับมาผสานคนรุ่นกลาง กับคนสูงวัย ให้ไร้รอยต่อ
2. ต้องมีนโยบายเศรษฐกิจเพื่อประชาชนแนวใหม่
- ต้องเริ่มหลีกเลี่ยงคำว่า “ประชานิยม” เพราะถือเป็นคำเก่าไปแล้วในการเมืองไทย
- ถ้ายังฝืนใช้ จะทำให้ภาพลักษณ์พรรคดูไม่ใหม่ สมกับที่มีหัวหน้าพรรคคนใหม่ที่เป็นคนรุ่นกลางเชื่อมต่อระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นก่อน
- ใช้จุดแข็งจากทีมเศรษฐกิจเดิม อาทิ Digital Wallet แก้หนี้ ปรับค่าจ้าง ฯ มาชูให้คนในสังคมรู้อีกครั้ง ให้คนกลับมาระลึกความจำให้ได้ เพราะตอนนี้ดูเหมือนประชาชนอาจจะจำนโยบายเหล่านี้ไม่ได้แล้ว
3. สร้างเอกภาพและระบบภายในพรรค
- ต้องพยายามลดแรงเสียดทานในพรรค ระหว่างคนสองวัย และคนต่างภูมิภาค
- ใช้ทรัพยากรทางการเมืองให้เร็วอย่างที่ควรใช้ เพื่อกลับมาทำให้คนในพรรคลดความหวาดระแวง และจะได้เกิดความน่าเชื่อถือในการบริหารของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในการเตรียมตัวสู้ศึกเลือกตั้งต้นปีหน้า
อาจารย์เชษฐา เสนอ motto สั้นๆ ให้กับพรรคเพื่อไทยยุค “เสี่ยหนิม จุลพันธ์” ด้วยว่า
“พรรคเศรษฐกิจ–นโยบายจับต้องได้-ผสานคนรุ่นใหม่กับฐานเดิม”