
22 ตุลาคม 2568 ในการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา หรือ IPU สมัยที่ 151 ยังมีประชุมในหัวข้อต่างๆ ที่มีความน่าสนใจอีกหลายประเด็น ซึ่งล้วนเป็นบทบาทของรัฐสภาทั่วโลก ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติในการขับเคลื่อนกฎหมาย และสร้างกลไกตรวจสอบเพื่อความยุติธรรม ความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อย่างเช่น การประชุมคณะกรรมาธิการสามัญ ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน มีสมาชิกรัฐสภาของไทยเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น และกล่าวถ้อยแถลงด้วย คือ ดร.อมรศักดิ์ กิจธนานันท์ สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ซึ่งได้พูดในหัวข้อ “ผลกระทบของภาวะโลกร้อน: เสียงเรียกร้องจากรัฐสภาเพื่อปกป้องผู้เปราะบางที่สุด” โดยการประชุมหัวข้อนี้เริ่มขึ้นในวันพุธที่ 22 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของการประชุม IPU ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เนื้อหาที่ ดร.อมรศักดิ์ ได้อภิปรายต่อที่ประชุม คือ การดำเนินการของรัฐสภาไทยต่อปัญหาโลกร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และข้อเสนอต่อการจัดการปัญหานี้ในบริบทของรัฐสภาทั่วโลก
ดร.อมรศักดิ์ เริ่มต้นด้วยการบอกเล่าถึงบริบทของประเทศไทย โดยบอกว่า ในฐานะหนึ่งในประเทศที่มีความเปราะบาง ด้านสภาพภูมิอากาศมากที่สุด ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยน้ำท่วม ภัยแล้ง และการกัดเซาะชายฝั่งที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประชาชนในชนบท ผู้สูงอายุ และชุมชนชายฝั่งทะเล
ไทยจึงมุ่งมั่นในการจัดการปัญหานี้ และดำเนินการตามกรอบของพันธกรณี และข้อตกลงระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมลดภาวะโลกร้อน ที่ประเทศกำหนดเอง หรือ NDC ฉบับล่าสุด ซึ่งไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 109 ล้านตันภายในปี พ.ศ.2578 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ผ่านกระบวนการปรึกษาหารืออย่างมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและการเป็นเจ้าของภารกิจนี้ร่วมกัน
ขณะที่แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ หรือ National Adaptation Plan ของไทย ก็มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งครอบคลุมทุกภาคเศรษฐกิจสำคัญ ผ่านการเกษตรอัจฉริยะเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมไปถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการเกษตรที่ทนทานต่อภัยพิบัติ และระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่ออกแบบเฉพาะพื้นที่
ส่วนโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยสมัครใจ (T-VER) เปิดโอกาสให้ชุมชนฐานรากสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตผ่านการฟื้นฟูป่าชายเลน การปลูกป่าแบบผสมผสาน และการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน
ขณะที่พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังจะผ่านรัฐสภา จะทำให้ความพยายามเหล่านี้ได้การรับรองและมีผลทางกฎหมาย รวมทั้งได้รับการจัดสรรงบประมาณเป็นการเฉพาะเพื่อสนับสนุนประชาชนกลุ่มเปราะบางอย่างเป็นรูปธรรม
ประเด็นต่อมา ดร.อมรศักดิ์ ชวนที่ประชุมร่วมกันขบคิดว่า รัฐสภาควรทำอย่างไรเพื่อให้การแก้ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศเกิดประโยชน์กับคนทุกกลุ่ม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
โดย สว.จากประเทศไทย มีข้อเสนอ 4 ประการ กล่าวคือ
หนึ่ง รัฐสภาต้องออกกฎหมายอย่างเป็นธรรม โดยบูรณาการหลักความยุติธรรมที่เกี่ยวโยงกับการแก้ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศไว้ในกฎหมาย งบประมาณ และภารกิจของรัฐทุกระดับ มาตรการด้านสภาพภูมิอากาศต้องได้รับการรับรองทางวิชาการ และครอบคลุมทุกภาคส่วนของสังคม
สอง รัฐสภาต้องตรวจสอบอย่างโปร่งใสเพื่อให้แน่ใจว่านโยบายต่างๆ ในเรื่องนี้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่วัดได้ และทรัพยากรกระจายไปถึงผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด โดยการตรวจสอบต้องไม่ได้มีแค่ตัวเลข แต่ต้องสะท้อนถึงสภาพชีวิตจริงของผู้ได้รับผลกระทบด้วย
สาม รัฐสภาต้องยกระดับเสียงของประชาชน โดยเปิดพื้นที่ให้เยาวชน ชนพื้นเมือง และชุมชนที่รับผลกระทบได้มีพื้นที่และบทบาทในการกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ ที่สำคัญการมีส่วนร่วมต้องเป็นหลักการพื้นฐาน ไม่ใช่สิทธิพิเศษของใครบางกลุ่ม
และสี่ รัฐสภาต้องร่วมมือกัน โดยการแบ่งปันต้นแบบกฎหมายที่ใช้งานได้ ตลอดจนเครื่องมือการตรวจสอบที่ได้ผล และนวัตกรรมการแก้ปัญหาต่างๆ เพราะภาวะโลกร้อนไม่มีพรมแดน การตอบสนองของรัฐสภาก็ต้องข้ามพรมแดน รวมเป็นหนึ่งเดียวด้วยกันเช่นกัน
ดร.อมรศักดิ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ประเทศไทยพร้อมร่วมมือกับรัฐสภาทั่วโลก เพื่อขับเคลื่อนอนาคตด้านสภาพภูมิอากาศที่เป็นธรรม ครอบคลุม และยืดหยุ่นพร้อมปรับตัวเร็วสำหรับทุกคน