
10 กันยายน 2568 นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ฐานะอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ รัฐสภา กล่าวถึง กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อจำนวนครั้ง การทำประชามติต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าต้องทำจำนวน 3 ครั้ง ว่า เป็นที่ชัดเจนว่าการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ต้องถามประชามติกับประชาชนเสียก่อนว่าจะเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
ดังนั้นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่บรรจุไว้ในระเบียบของรัฐสภาไม่สามารถพิจารณาได้ในขณะนี้ และถือว่าร่างต้องตกไป หรือ เจ้าของร่างต้องถอนเนื้อหาออกไป เพราะมีเนื้อหาที่ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ต่อประเด็นที่ว่า รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา
นายนิกร กล่าวด้วยว่า ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดคำถามประชามตินั้น ก่อนหน้านี้ในคณะกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางการทำประชามติเพื่อแก้ปัญหาความเห็นต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ เคยทำความเห็นเสนอให้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ให้เห็นชอบแล้ว ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่ได้ศึกษาจากกรณีที่เห็นว่าคำถามประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สามารถกำหนดให้มี สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนได้ เพราะจะขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 ได้ แต่หากทุกฝ่ายฝ่าฝืนไม่ทำตามอาจถูกร้อง ว่าเป็นการกระทำที่มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้
“ตามข้อตกลงทางการเมืองระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน ที่กำหนดให้ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมี สสร.ที่มาจากการเลือกตั้ง นั้น ไม่สามารถตั้งคำถามในแนวนี้ได้ เพราะจะขัดกับรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญล่าสุด ทั้งนี้ผมเห็นว่าพอมีทางที่จะให้มี สสร.ได้ แต่ต้องกำหนดให้ที่มามาโดยอ้อม เหมือนครั้งการจัดทำรัฐธรรมนูญปี 2540 คือ ให้ประชาชนเลือก มาจำนวนหนึ่งก่อน แล้วให้รัฐสภาคัดเลือกภายหลังอีกครั้งหนึ่ง” นายนิกร กล่าว
นายนิกร กล่าวต่อว่า สำหรับคำถามประชามติที่คณะกรรมการฯ เสนอไปก่อนหน้านั้น คือ มีบทยกเว้นไม่แก้หมวด 1 และหมวด 2 ควรคงไว้เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่กระทบต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาชนฉบับใหม่
อย่างไรก็ดีมีประเด็นต้องพิจารณาคือ ขณะนี้กฎหมายประชามติที่สภาฯ แก้ไขยังไม่ใช้บังคับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรประสานงานกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อเตรียมความพร้อมเพื่อออกกฎหมายลำดับรอง เช่น กฎ ระเบียบ และประกาศต่างๆ ให้ใช้บังคับได้ทันทีเมื่อ พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติฉบับแก้ไขประกาศใช้ นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องเตรียมพร้อมเรื่องการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการออกเสียงประชามติเพื่อไม่ให้มีปัญหาหรืออุปสรรคขัดข้อง