
4 กันยายน 2568 นายสุรทิน พิจารณ์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.) พร้อมด้วย นายไทกร พลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เดินทางเข้ามาที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อถอนแจ้งความ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะปฎิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ที่ได้แจ้งความเอาผิดตามมาตรา 112 ไปเมื่อวานนี้(3 ก.ย.68)
นายสุรทิน พิจารณ์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.) พร้อมด้วย นายไทกร พลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง
โดย นายสุรทิน บอกว่า หลังจากได้แจ้งความไปแล้ว ส่วนตัวไม่มีอะไรกัน และเพื่อนๆบอกถ้าเป็นคดีไม่สบายใจ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสบาย เพราะทุกอย่างยุติไปแล้ว บ้านเมืองเดินไปหนึ่งขั้นแล้ว เพื่อให้ทุกอย่างเดินไปอย่างราบรื่น ก็เลยตั้งใจเดินทางมาถอนแจ้งความ
เพราะพรุ่งนี้(5 ก.ย.68) เองก็จะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และต้องการให้เกิดการเดินหน้าไปได้ทุกฝ่ายโดยยืนยันว่า ไม่ได้มีใครกดดันให้มาถอนแจ้งความแน่นอน
ขณะที่ นายไทกร ระบุว่า จากเดิมที่ตนเองต้องมาแจ้งความเมื่อวาน เพราะกระบวนการของภูมิธรรม กำลังทำให้สถาบันพระมหากษัติรย์ตกไปอยู่ในการเมือง ซึ่งไม่สามารถทนเห็นพฤติกรรมของพรรคเพื่อไทยและนายภูมิธรรมไม่ได้ ที่ออกมาขู่ว่าถ้าไม่เลือก นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แล้วจะยุบสภา รวมถึงเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาพูดว่าอยู่ขึ้นตอนการเตรียมการยุบสภา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด และนายภูมิธรรมก็ยังมีความพยายามที่จะเรียกประชุมคณะการมการกฤษฎีกาคณะใหญ่ เพื่อจะหาแนวทางยุบสภาอีก
จนประมาณ 21.00 น.ทุ่มเมื่อวานนี้(3 ก.ย.68) เมื่อมีออกหนังสือจากสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีวันที่ 5 ก.ย. ก็ทำให้สบายใจขึ้นที่จะไม่มีความพยายามยุบสภาอีกแล้ว รวมถึงนายถูมิธรรม ก็ลาภานกิจต่างๆทั้งหมด
ดังนั้นเราควรจะให้โอกาสเพื่อให้การเมืองเดินไปได้อย่างปกติที่ ในวันพรุ่งนี้จะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี ก็ต้องทำให้การเมืองเดินเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย
นายไทกร ยังบอกย้ำว่า ก่อนหน้านี้ตนเองแจ้งความด้วยวาจา และเมื่อเห็นว่านายภูมิธรรม ไม่ได้มีการกระทำในความพยายามยื่นทูลเกล้ารอบ2 และสำนึกในสิ่งที่กระทำแล้วและเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ทำไปมีความผิดพลาด และจะต้องให้โอกาสคน จึงเป็นที่มาของการมาถอนแจ้งความ
ทั้งนี้หากการเลือกตั้งผ่านไปแล้วทุกอย่างเป็นไปตามครรลอง ก็ให้บ้านเมืองเดินไปตามปกติ และคงไม่มาแจ้งความอีก หากพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีความพยายามในการกระทำลักษณะดังกล่าว