
มีการพูดหนาหูขึ้น สำหรับคำว่า “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ที่หลายคนมองว่าพรรคเพื่อไทย ต้องรับสภาพ หาทางออก และเดินลุยไฟไปต่อ
สรุปอย่างง่ายและรวบรัดที่สุด “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” คือ รัฐบาลที่มีจำนวน สส. น้อยกว่าฝ่ายค้านในสภา และไม่ถึงกึ่งหนึ่ง หรือครึ่งหนึ่งของจำนวน สส.ทั้งหมด จึงไม่สามารถ “คุมการลงมติ” หรือ “ผ่านกฎหมาย” ได้ด้วยตนเอง ต้องพึ่งพาเสียงจากพรรคอื่น
1. ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด ซึ่งเกิดขึ้นกับประเทศประชาธิปไตยระบบรัฐสภาหลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป ที่มีพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันมาก และมีผู้สนับสนุนกระจายกันไป และพรรคการเมืองเหล่านนั้นไม่ยอมร่วมงานกันเป็นรัฐบาล เช่น เดนมาร์ก สวีเดน
2. พรรคใหญ่แตกออกเป็นหลายพรรคย่อย จึงไม่มีใครรวมเสียงได้มากพอในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก
3.การเมืองชะงักงัน เจรจาตั้งรัฐบาลผสมไม่สำเร็จ แต่ประเทศต้องมีรัฐบาลเพื่อบริหารต่อไป จึงตัดสินใจตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แล้วขอเสียงพรรคอื่นเป็นคราวๆ เพื่อลงมติสำคัญ เช่น ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณ โดยประเทศที่เผชิญสถานการณ์นี้ก็เช่น แคนาดา สเปน
4. รัฐบาลเดิมถูกถอนการสนับสนุน พรรคพันธมิตรเลิกจับมือ เหลือรัฐบาลที่เสียงไม่ถึงครึ่ง ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญปัญหานี้ แต่เพื่อไทยหนักกว่า เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการด้วย เนื่องจากพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกับนายกฯแพทองธาร จึงมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ มากกว่ารูปแบบอื่น
1. ต่อรองเป็นเรื่องๆ เวลาออกกฎหมายหรือเสนอร่างงบประมาณ ต้องไปขอเสียงสนับสนุนจากฝ่ายค้านหรือพรรคเล็ก
2.ต้อง “แลกเปลี่ยน” เช่น ยอมให้ฝ่ายค้านได้ผลักดันนโยบายบางอย่าง
3. ใช้สัญญาทางการเมือง วิธีนี้คล้ายกับที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยกำลังทำกับพรรคประชาชน
วิธีการแบบนี้เกิดมาแล้วในนิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร
4. เน้นบริหารแบบประนีประนอม รัฐบาลเสียงข้างน้อยมักหลีกเลี่ยงนโยบายสุดโต่ง เพราะต้องการเสียงสนับสนุนจากหลายฝ่าย
5.มีแนวโน้มเป็นรัฐบาลอายุสั้น หรือรัฐบาลเฉพาะกาล เพื่อรอยุบสภาเลือกตั้งใหม่
สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทยตอนนี้ มี 2 เรื่องเกิดคู่ขนานกัน
1.พรรคภูมิใจไทยกำลังพยายามรวบรวมเสียง จับขั้วเพื่อตั้ง “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” เหมือนที่เกิดในยุโรป เนื่องจากพรรคประชาชนไม่ยอมตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคใด และพรรคประชาชนไม่มีแคนดิเดตนายกฯ
2.รัฐบาลเพื่อไทย อยู่ในสถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อยแล้ว หลังจากพรรคกล้าธรรมออกแถลงการณ์สนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ
แต่พรรคเพื่อไทยมีสถานะเป็น “รัฐบาลรักษาการ” ด้วย โดยปกติ “รัฐบาลรักษาการ” ทำหน้าที่แค่ ประคองประเทศให้เดินต่อได้ เช่น ดูแลงานประจำ ไม่ผลักดันนโยบายใหญ่
ฉะน้้นกรณีของประเทศไทยตอนนี้ รัฐบาลเพื่อไทยเป็นทั้งรัฐบาลรักษาการ และยังเป็นเสียงข้างน้อยในสภา จึงอ่อนไหวมากเป็นพิเศษ เพราะ
1.ไม่สามารถผลักดันกฎหมายหรืองบประมาณใหม่ได้
2. การต่อรองเสียงในสภาแทบไม่มีความหมาย เนื่องจากเป็น “รัฐบาลรักษาการ” อยู่
ทางรอดและทางออกที่แทบจะเหลือทางเดียวคือ การได้ความเห็นใจทางการเมืองจากพรรคประชาชน ซึ่งตัวเองก็เคย “ทิ้งเขาไว้กลางทาง” ไปเสวยสุขเสพอำนาจมานานถึง 2 ปี