
14 สิงหาคม 2568 กรณีศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. ซึ่งคดีนี้สืบเนื่องจากสมาชิกวุฒิสภา 36 คน ยื่นคำร้องให้ตรวจสอบว่า น.ส.แพทองธาร ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ เนื่องจากคลิปเสียงที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 อาจบ่งชี้ถึงการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงและขาดความซื่อสัตย์สุจริต
การที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัย คดีดังกล่าวบ่าย 3 วันที่ 29 สิงหาคม 2568 คือรวบรัดตัดจบภายในเดือนนี้เลย ถือว่าเป็นสัญญาณไม่ค่อยดีของนายกฯแพทองธาร เพราะสัญญาณนี้ สวนทางกับสิ่งที่ตัวนายกฯแพทองธาร + ทีมยุทธศาสตร์ + ทีมสู้คดี พยายามดึงเวลาให้ช้าเข้าไว้
สาเหตุที่ดึง เพื่อให้สถานการณ์ไทย-กัมพูชาคลี่คลาย ทั้งคลี่คลายจริงๆ และตามที่รัฐบาลพยายามสร้างภาพให้เป็น (เช่น ประกาศฝ่าวิกฤตได้แล้ว) ก่อนหน้านี้ นายกฯแพทองธาร ขอต่อเวลาชี้แจงอีก 15 วัน แต่ศาลไม่ให้ ให้แค่ 4 ส.ค. 2568
ซึ่งจริงๆ มีขั้นตอนที่ต้องส่งคำชี้แจงให้ สว.ผู้ร้องพิจารณา และส่งคำโต้แย้งกลับมา น่าจะอีกอย่างน้อย 15 วัน แต่ศาลตัดขั้นตอนนั้น โดยอาจมองว่าข้อเท็จจริงฝ่าย สว.ผู้ร้อง ชัดเจนแล้ว เหลือเพียงฝ่ายผู้ถูกร้องที่มีประเด็นต้องไต่สวนเพิ่ม จึงออกนั่งบัลลังก์ได้สวนพยาน 2 ปาก ในวันที่ 21 ส.ค.2568 คือ เลขาธิการ สมช. และตัวนายกฯอิ๊งค์เอง
ขณะที่ ทิศทางของคดี และท่าทีของศาล ซึ่งถูกแปรเป็น “สัญญาณไม่ค่อยบวกนัก” กับนายกฯแพทองธาร ดูจะตรงกับสิ่งที่ตัวนายกฯคาดเดาและแสดงความกังวลอยู่ตลอดเวลา
ส่วนกระแสข่าวลือ “ลาออกก่อนศาลวินิจฉัย” ยังมีความเป็นไปได้ แม้แกนนำเพื่อไทยจะเรียงหน้าออกมาปฏิเสธ ตั้งแต่รักษาการนายกฯภูมิธรรม ต่อด้วย “ท่านเลขาฯบอย” สรวงศ์ เทียนทอง
แต่ที่น่าแปลกใจ คือ นายกฯแพทองธาร ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ด้วยตัวเอง 2 วันซ้อนๆ ที่เจอสื่อ ทำให้น่าคิด
และท่าทีแบบนี้ทำให้ “คนทำโพลอันดับ 1 ของประเทศ” อย่าง อาจารย์สุวิชา เป้าอารีย์ ผอ.นิด้าโพล ตีความทางการเมืองไปในแง่ว่า มีแนวโน้มลาออกก่อนรู้ผลคดี
ผศ.ดร.สุวิชา มองว่าการที่ผู้นำ ไม่ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการลาออก เป็นสัญญาณว่าข่าวลือดังกล่าวอาจเป็นความจริง และการลาออกในครั้งนี้อาจเป็นการรักษาเกียรติของตนเอง เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่ามีความผิดทางจริยธรรม จะส่งผลเสียต่ออนาคตทางการเมืองในระยะยาว