"เพื่อไทย" ฮึดตั้งลำสู้ ฝ่าคลื่นลมการเมือง เลิกคิด นายกฯลาออก –ยุบสภา

12 สิงหาคม 2568   แหล่งข่าวระดับสูงจากเพื่อไทย เปิดเผยว่า  ภายหลังรัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ก้าวข้ามสองวิกฤตสำคัญ คือ ปัญหาการปะทะตามชายแดนไทย- กัมพูชา และ ข้อตกลงภาษีทรัมป์ โดยเฉพาะ กรณี การลงนามบันทึกการประชุมจีบีซี ไทย-กัมพูชาบรรลุข้อตกลง 13 ข้อไปแล้วนั้น จากนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเร่งเดินหน้าทำผลงานเข้าถึงประชาชน โดยเฉพาะ ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องสำคัญลำดับแรก

“และยังหารือกันว่า ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยกลับมาคุมกระทรวงมหาดไทย  โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย ทำหน้าที่ รมว.มหาดไทย สามารถปลดล็อกเรื่องค้างเก่าต่างๆ ออกมาทำงานเป็นผลงานเชิงประจักษ์ได้มากขึ้น  เพราะอย่าลืมว่า หลายงานต้องใช้กลไกกระทรวงมหาดไทย ไม่ว่าเป็นการแก้ปัญหายาเสพติด โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ผ่านมางบกระจุกตัว ในจังหวัดที่เป็นฐานการเมืองของพรรคสีน้ำเงิน แต่เมื่อนายภูมิธรรม เข้ามาทำหน้าที่มท.1จะแก้ปัญหากระจบกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังจังหวัดต่างๆอย่างทั่วถึง  โดยเฉพาะโครงการกองทุนหมู่บ้านกว่า 7 หมื่นเเห่ง เเละเป็นผลงานของพรรคไทยรักไทยในอดีตก็จะได้รับการพิจารณาอย่างทั่วถึง ซึ่งหมู่บ้านมีหลายระดับ เอส เอ็ม แอล"

แหล่งข่าวระดับสูงจากเพื่อไทย เปิดเผยว่า เป้าหมายหลังก้าวข้ามสองวิกฤตข้างต้น คือการสร้างผลงานเเบบเร่งด่วน โดยไม่ได้คิดว่าจะมีอุบัติเหตุทางการเมือง โดยเฉพาะคดีน.ส.แพทองธาร  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  ซึ่งทีมงานกฎหมาย ได้ส่งคำชี้แจงไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม   

เผยเบื้องหลังทำคำชี้แจงอิ๊ง  ปมคลิปเสียงต่อศาลรธน.

มีรายงานวงใน แจ้งว่า  สำหรับคำชี้แจงดังกล่าว เป็นการนำคำชี้แจงเดิม ก่อนที่ศาลรัฐธะรมนูญจะมีมติรับคำร้องไว้วินิจฉัยและสั่งให้นส.เเพทธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยนำมาปรับปรุงเพิ่มเติม เรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ข้อเท็จจริงของการเกิดคลิปเสียงระหว่างนส.เเพทองธาร-สมเด็จฮุนเซนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และนายกฯมีเจตนาอย่างไร โดยไม่ได้มีเจตนาเพื่อความสัมพันธ์ส่วนตน แต่เป็นการอธิบายโดยคำนึงถึงผลประโยชน์และความสงบสุขของประเทศชาติเป็นสำคัญ   

“จากนั้นได้นำประเด็นข้อกฎหมายตามที่ผู้ร้องกล่าวหา ว่าขัดจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญมาตราใดบ้าง มาเทียบเคียงกับการกระทำของนส.เเพทองธาร ว่าไม่ได้มีข้อใดที่ขัดประมวลจริยธรรม แต่อย่างใด”

คุยกันแล้ว นายกฯไม่ออก –ไม่ยุบสภา

แหล่งข่าวระดับสูง ยืนยันว่า ไม่มีเหตุผลใดที่นายกฯ จะลาออกกลางคัน/ในช่วงนี้ /ไม่มีเหตุต้องยุบสภาด้วย แต่หากเกิดกรณีเลวร้ายจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะยังมีทางเลือกคือ ดันแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทยคือนายชัยเกษม นิติสิริ ให้สภาผู้เเทนฯรับรองและบริหารประเทศชาติต่อไป โดยยังเชื่อมั่นจำนวนเสียงพรรคร่วมรัฐบาลในการสนับสนุน แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย

เลือกตั้งครั้งหน้า  ไม่พบใครเด่น เท่าเพื่อไทย

เเกนนำรัฐบาล ยังได้หยิบยกการแก้ไขวิกฤตไทย- กัมพูชา มาเทียบเคียงต่อการเป็นรัฐบาลในภายภาคหน้า ว่า หากการเมืองเดินไปถึงการเลือกตั้งปี 2570 ซึ่งประเมินด้วยว่า ปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ยังต้องใช้เวลายาวนานพอสมควร ให้ฟื้นกลับมาเหมือนเดิม เต็มที่อาจจะลากยาวไปถึงปี 2570 หรือหลังเลือกตั้งด้วยซ้ำ

"หากการเมืองเดินไปถึงการเลือกตั้งสส.ปี 2570 โดยประเมินว่า พรรคขั้วตรงข้าม เช่น พรรคประชาชนที่สังคมมองว่าจะมีคะแนนนำ แต่ก็ยังมองไม่ออกถึงตัวผู้นำหรือคนใดในพรรคนั้นที่จะมีความสามารถแก้วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นแบบนี้ ได้ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยผ่านประสบการณ์ และ ความร่วมมือกับกองทัพ"

“แม้ไม่แนบแน่นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ช่วงที่นายภูมิธรรมดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหม ก็สามารถร่วมงานกันได้ดีกับกองทัพ เรียกได้ว่า มีต้นทุนไว้แล้ว ซึ่งเมื่อมองกลับไปที่พรรคประชาชน ที่ปัจจุบันตะบี้ตะบันค้านอย่างเดียว โดยเฉพาะการแสดงท่าทีกับกองทัพ  ยิ่งมีปัญหาต่ออนาคตทางการเมือง แน่นอน 

"อยากให้ย้อนมองดู  ตอนนี้มีใครบ้าง มีพรรคอนุรักษ์นิยมดั้งเดิม  พรรคเพื่อไทย พรรคอนุรักษ์นิยมรุ่นใหม่ ที่ยังสามารถไปต่อกันได้  ในขณะที่ พรรคประชาชน จะจับกับกลุ่มใด"   แหล่งข่าวระดับสูงเพื่อไทยตั้งคำถาม 

“แม้พรรคสีส้มคะแนนดี เเต่แน่ใจหรือ พวกเขามีศัตรูสำคัญคือฝ่ายอนุรักษ์นิยม   ถามว่าบุคลากรแต่ละคน  ของพรรคนั้นใครเป็นผู้นำ ขิให้เปรียบเทียบจากวิกฤต ชายเเดนกัมพูชา และภาษีทรัมป์  มีใครแก้ไหว เท่ากับบุคลากรในพรรคเพื่อไทย เครือข่ายของพงกเขาใหญ่เท่าพวกผมไหม รุ่นพวกผมมีอายุสี่สิบกว่าๆ ปีและเราต้องนึกถึงคนรุ่นน้อย ๆ  เครือข่ายต่างๆมีความเข้าใจ  ส่วนที่พวกเขาแถไปแอย่างนี้ มีแต่พัง” แหล่งข่าวระดับสูง กล่าว

แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกตว่า “หากพรรคประชาชนเป็นรัฐบาล ทหารจะฟังไหม ตอนที่นายภูมิธรรมเป็นรมว.กลาโหม แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ทำงานร่วมกันได้  

ฝ่ายค้านไม่ค่อยเห็นตัวนักบริหาร ที่ต้องเก่งงานและเก่งคน ไม่ใช่เก่งวาทะอย่างเดียว  หน้าที่นักการเมือง ขึ้นมาบริหารทั่วไป ต้องเก่งงานและเก่งคน หน้าที่นักการเมือง ต้องเป็นนักสื่อสาร อธิบายให้ได้ด้วย  ”แหล่งข่าว กล่าว

เปิดใจ “หมอมิ้ง ”  รัฐบาลดันผลงานเข้าถึงประชาชน

ข้อมูลดังกล่าวข้างต้น สอดคล้องกับกองบก.เครือเนชั่น ได้สัมภาษณ์ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช  เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เมื่อไม่นานนี้ 

โดยเลขานายกฯ   ยอมรับว่า  ตั้งแต่ พรรคเพื่อไทยได้กระทรวงมหาดไทยกลับมาบริหาร ทำให้หลายงานที่ต้องใช้กลไกกระทรวงมหาดไทย เกิดความคล่องตัว และจะเร่งสร้างผลงานผ่านนโยบายปราบปรามยาเสพติดเป็นอันดับแรก  ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันนี้ ฝ่ายปกครองร่วมกับตำรวจ ได้ทลายสถานบันเทิง ที่ไม่มีใบอนุญาต เป็นแหล่งที่มีการเสพยาของวัยรุ่นหนุ่มสาว  ซึ่งก็จะเดินหน้าทำต่อ 

นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า รวมถึงแก๊งคอลเซนเตอร์-สแกมเมอร์  นับตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จนถึงวันนี้ ยอดสถิติการก่อเหตุจากข้างต้นลดลงเกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์  รวมไปถึงการออกกฎหมายให้สถาบันการเงิน เข้ามาควบคุมดูแลธุรกรรมสีเทา ทำให้รัฐบาลมีผลงานที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น  

“นอกจากนี้ การกระจายงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ไม่เกิดการกระจุกตัวเหมือนอดีต และยังสามารถเชื่อมต่อเกี่ยวกับโครงการกองทุนหมู่บ้าน เราต้องสร้างผลงานที่สัมผัสได้ เเละการปราบยาเสพติดเป็นเรื่องใหญ่” เลขาธิการนายกฯ กล่าว 

นพ.พรหมินทร์ ชี้เเจงถึงการที่พรรคเพื่อไทยดึงกระทรวงมหาดไทยกลับมาดูแลว่ากระทรวงนี้เป็นกลไกสำคัญที่เรานำกลับมาแก้ไขด้านยาเสพติดเเละมีความชัดเจนขึ้นส่วนกรณีที่ดินเขากระโดงนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง 

”เราพยายามทำให้ถึงประชาชนง่ายขึ้น รวมทั้งการดูแลเอสเอ็มอี ที่ผ่านมาผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ไม่ให้ความสนใจเลย ในการนำงบลงไปกองทุนหมู่บ้าน  การแก้ปัญหาน้ำท่วม ที่ผ่านมายอมรับว่า ตอนตั้งรัฐบาล พวกเขา(พรรคภูมิใจไทย)ต่อรองอย่างนี้ เราก็ให้พวกเขา แต่เอาไปแล้วไม่ได้ดั่งใจ จริงๆ ไม่ได้อยากให้พวกเขาออกจากรัฐบาล เราให้แลกกับกระทรวงสาธารณสุขด้วยซ้ำ “

"ในระยะสั้นขนาดนี้ ต้องสร้างผลงานให้เร็ว สร้างบทบาทความจริงจัง  หรือแม้แต่เรื่องของกระทรวงแรงงานที่มีการย้ายปลัดกระทรวงแรงงาน  เพราะผลสอบเบื้องต้นออกมา(การที่สำนักงานประกันสังคมซื้ออาคารเเห่งหนึ่งที่ราคาสูงกว่าปกติเเละการใช้งบผลิตปฏิทิน) ตั้งแต่ รมต.พรรคภูมิใจไทยดูเเลกระทรวงนี้ แต่ยังไม่มีความคืบหน้า  เราก็ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง"  นพ.พรหมินทร์ กล่าว