
30 กรกฎาคม 2568 สืบเนื่องจากศาลฎีกานัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 7 โดยก่อนหน้านี้ศาลได้นัดไต่สวน นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กลุ่มแพทย์ประจำสถานพยาบาลราชทัณฑ์ 5 ปาก และกลุ่มพัศดีเวรประจำวัน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ แพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจ และตัวแทนจากแพทยสภา โดยวันนี้เป็นการไต่สวนพยานจำเลย 1 ปาก คือ ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม ขึ้นเบิกความในเวลา 09.30 น.
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะว่า ก่อนอื่นเป็นการให้ความเห็นทางวิชาการมิใช่การชี้นำศาลและไม่ได้มีเจตนาไปละเมิดอำนาจศาล กรณีฝ่ายจำเลยได้นำพยานปาก ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการ รมว.ยุติธรรม มาสนับสนุนคำคัดค้านพยานฝ่ายจำเลย เชื่อว่า พยานปากนี้ ไม่สามารถตอบคำถามศาลได้ว่า นายทักษิณฯ เจ็บป่วยจริงหรือไม่ เพราะไม่ใช่แพทย์
แต่อาจจะได้ข้อเท็จจริง ในส่วนของ กระบวนการ ขั้นตอนและวิธีการ ส่งตัวผู้ต้องขัง ไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ในอำนาจของรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ได้รับรายงานจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตาม ข้อ 7(3) แห่งกฎกระทรวงว่าด้วย การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563
แต่หัวใจหลัก ที่เปิดศาลไต่สวน ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า “มีการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณฯครบถ้วนหรือไม่”
ปัญหา การโต้แย้งข้อกฎหมาย ระหว่าง กรณีการขอทุเลาการบังคับโทษในคดีอาญา ตาม ป.วิอาญา มาตรา 246 กับกรณีการนำตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นการบังคับโทษต่อเนื่อง ตาม พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 และกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 เป็นการตีความต่างมุมมองกัน
หากเป็น “การทุเลาการบังคับโทษอาญา” ชั่วคราว จะต้องขออนุญาตศาลก่อนนำตัวไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ตาม ป.วิอาญามาตรา 246 ส่งผล “ไม่นับระยะเวลาคุมขังต่อเนื่อง”
ส่วนการใช้อำนาจ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 55 ไม่ต้องขออนุญาตศาล เป็นอำนาจเด็ดขาดของกรมราชทัณฑ์ ส่งผล “นับระยะเวลาคุมขังต่อเนื่อง”
แม้ กสม.องค์กรอิสระ เคยตรวจสอบ ปม รพ.ตำรวจ ชั้น 14 โดยมีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า กฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ขัดหรือแย้งกับ ป.วิอาญามาตรา 246 โดยมีมติส่งเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 231(2) เพื่อส่งให้ศาลปกครองเพิกถอน แต่สภาพ “กฎ”ยังไม่ถูกเพิกถอน และมีผลบังคับเป็นการทั่วไปถึงปัจจุบัน
หากผลการไต่สวนฟังได้ว่า “ไม่เจ็บป่วยจริง” หรือ “เจ็บป่วยจริง แต่ไม่ร้ายแรงฉุกเฉินเร่งด่วนเพื่อรักษาชีวิตผู้ต้องขังในสถานพยาบาลภายนอก” หมายความว่า แพทย์ประจำ รพ.ราชฑัณฑ์ ย่อมรักษาผู้ป่วยภายในได้เอง ไม่มีเหตุผลจำเป็นใด ที่ส่งไปรักษาตัวภายนอกเรือนจำ ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า การคุมขังใน รพ.ตำรวจ ชั้น 14 ถึง 180 วันก่อนพักโทษนายทักษิณฯ เป็นการคุมขังต่อเนื่องและคุมขังโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
แต่ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 55 วรรคสาม บัญญัติ กรณีส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ไม่ถือว่าผู้ต้องขังนั้นพ้นจากคุมขัง
อธิบายภาษาชาวบ้าน ว่า การส่งตัวรักษาโรงพยาบาลภายนอก ไม่ถือว่า เป็นการหลุดพ้นจากที่คุมขัง เพราะ รพ.ที่ราชทัณฑ์กำหนด ถือว่าเป็นสถานที่คุมขังและการนับระยะวันคุมขังให้นับวันต่อเนื่อง ไม่ขาดตอน
กรณีส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ให้อำนาจเจ้าพนักงานราชทัณฑ์และแพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ ให้ความเห็น เสนอความเห็นต่อผู้บัญชาการเรือนจำกลาง หากรักษาตัวนอกเรือนจำ เกินกว่า 120 วัน เป็นอำนาจของอธิบดีกรมราชทัณฑ์รายงานต่อ รมว.ยุติธรรม เป็นไปตามกฎกระทรวงและ พรบ.ราชทัณฑ์ จึงเป็นเหตุให้ ศ.ดร.วิษณุฯมาเบิกความในวันนี้
การนำตัวนายทักษิณฯไปรักษาตัวภายนอกเรือนจำและใช้อำนาจอนุญาต เป็นการใช้อำนาจรัฐ ตาม พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 และกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะของกรมราชทัณฑ์ มิใช่เป็นการหักล้างอำนาจศาลหรือหักล้างคำพิพากษาของศาล เพราะ ป.วิอาญา ได้บัญญัติคนละขั้นตอนกัน
หากเทียบเคียง การนำวันคุมขังต่อเนื่อง ใน “คดีกำนันเป๊าะ” ที่กรมราชทัณฑ์นำตัวไปรักษาตัวนอกเรือนจำ โรงพยาบาลจังหวัดชลบุรี ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ต่างกัน
แม้จะใช้ พรบ.ราชทัณฑ์ฉบับเก่าก็ตาม แต่ในกฎหมายราชฑัณฑ์ฉบับใหม่ การนำตัวไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ไม่ทำให้ระยะเวลาคุมขังสะดุดหยุดลง
หากนับระยะเวลาคุมขังครบหนึ่งในสาม กรมราชทัณฑ์ย่อมใช้อำนาจในการพักโทษกับผู้ต้องขังรายนายทักษิณฯได้
หากฟังได้ว่า “ไม่ป่วยจริง” หรือ “ป่วยทิพย์” ผลร้ายย่อมตกแก่ “แพทย์ผู้ตรวจรักษา รพ.ตำรวจ” และ “เจ้าพนักงานราชทัณฑ์” จพง.ในชั้นปฏิบัติงานและขั้นตอนการรักษาตัว หากฟังได้ว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบช่วยเหลือผู้ต้องขัง จะต้องรับผิดชอบเป็นการส่วนตัว
แม้พยานบางปากเป็นแพทย์ จะร้องไห้ ปาดน้ำตาในคอกพยาน บ่นพำพรำว่า ตนไม่เคยคิดว่าการเป็นแพทย์รักษาตัวนายทักษิณฯ จะมาเบิกความต่อหน้าศาลก็ตาม แต่กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ย่อมไม่พ้นความรับผิด แต่ผู้ต้องขังนามว่า “ทักษิณ” ประธานในคดี เมื่อระยะเวลาไม่สะดุดหยุดลงและนับวันคุมขังต่อเนื่อง เป็นการใช้ช่องว่างโดยออกกฎหมายกระทรวงโดยมาตรา 55 วรรคสอง แห่ง พรบ.ราชทัณฑ์ฯ แนวโน้มสูง ทำให้นายทักษิณฯโอกาส “รอด”ถูกคุมขังซ้ำอีกครั้งสูง