
21 กรกฎาคม 2568 ภายหลัง นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.แรงงาน เปิดเผยกับเนชั่นทีวี ถึงการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ตามนโยบายพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงไว้ ต้องไปให้ถึง 600 บาทหรือไม่ อาจต้องคำนึงถึงภาวะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และผลกระทบภาษีทรัมป์ แต่อย่างไรก็ตาม มีแนวคิดในการปรับค่าแรงควบคู่การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงงาน น่าจะเป็นหนทางที่เหมาะสมกว่า
ในเรื่องนี้ มีมุมมองจาก ดร.ชัยยันต์ เจริญโชคทวี เลขาธิการสภาองค์การนายจ้างธุรกิจไทย และคณะกรรมการค่าจ้าง (ฝ่ายนายจ้าง) กระทรวงแรงงาน ให้ความเห็นว่า โอกาสปรับค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ตามนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย มาถึงวันนี้ ก็ต้องย้อน กลับไปมองภาพรวมเศรษฐกิจทั้งประเทศเป็นอย่างไรบ้าง
เนื่องจากสูตรที่อนุกรรมการทุกจังหวัดต้องใช้ อ้างอิงถึงประสิทธิภาพแรงงานของแต่ละจังหวัด อัตราเงินเฟ้อ ค่าตัวเลขการปรับ นั่นคือ ระยะเวลาปรับเมื่อไหร่ แน่นอนว่าตัวเลขเหล่านี้ ภาครัฐเป็นฝ่ายนำเสนอ พบว่า อัตราการเจริญเติบโตเศรษฐกิจ ไม่ได้ขยับขึ้น แต่ดาวน์ลงและอัตราเงินเฟ้อเป็นตัวเลขที่สำคัญ เพราะใช้คำนวณปรับค่าจ้างขั้นต่ำ เมื่อปี 67 อยู่ที่ 0.5 เปอร์เซนต์ ปีนี้ 0.4 เปอร์เซนต์ ส่วนปีหน้า ประมาณนี้ คงไม่ถึง 1 เปอร์เซนต์แน่
“ถ้าสังเกตตรงนี้ แนวทางการปรับค่าแรงขึ้นไปถึง 600 บาท แม้จะถึง 400 บาทยังยากในระยะเวลาอันใกล้ อยากให้ภาครัฐเห็นภาพใหญ่ทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจประกอบด้วยหลายส่วนช่วยกัน ทั้งผู้ประกอบการ หรือผู้ใช้แรงงาน ไม่ใช่ว่าการขึ้นค่าแรงแล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้น ยังมีปัจจัยอื่นอีกเยอะที่จะช่วยเศรษฐกิจเดินได้หรือไม่ได้ แม้กระทั่งปัจจุบัน ภาษีทรัมป์ 36 เปอร์เซนต์เข้ามา เท่ากับเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการเข้าไปอีก ฉะนั้นคำถามว่า 600 บาท ระยะอันใกล้ ตอนที่หาเสียง ขอร้องเถอะมันไปไม่ได้” ดร.ชัยยันต์ กล่าว
เตือน ฝืนขึ้นค่าแรง 600 บาท ระบบศก.พังแน่
ถามว่า หากรัฐบาลเพื่อไทย ยังเดินหน้าปรับค่าแรงตามเป้าหมาย 600 บาทต่อไปนั้น ดร.ชัยยันต์ ตอบทันทีว่า ผลกระทบที่จะตามมา เศรษฐกิจของประเทศพังแน่นอน อีกอย่างการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ ไม่ได้ตอบโจทย์ผู้ใช้แรงงานในประเทศ ตรงกันข้ามกลับเป็นการปรับให้กับแรงงานต่างด้าว ที่จะเข้ามาในประเทศมากกว่าและเขาก็นำเงินกลับประเทศเขา เราไม่ได้อะไรในส่วนนี้เลย อีกผลกระทบตามมาต่อภาคธุรกิจเอ็สเอ็มอีที่มีจำนวนมาก มากกว่า จะต้องปิดตัวลงจำนวนมาก
หนุนปรับค่าแรงตามพัฒนาฝีมือ
อย่างไรก็ดี ดร.ชัยยันต์ สนับสนุนแนวคิดของรมว.แรงงานที่จะให้ความสำคัญต่อการปรับค่าแรงงานตามการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน โดยระบุว่า ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง เห็นด้วยในเรื่องนี้ ความจริงเรามีการผลักดันในส่วนนี้อยู่แล้ว ค่าแรงที่อิงจากการพัฒนาฝีมือ เราเห็นด้วย เพราะวันนี้ มีการปรับมาตรฐาน128 อาชีพแล้ว บางอาชีพ ได้ค่าจ้างถึง 800 บาทยังมี ซึ่งขณะนี้ยังเหลืออีก100 กว่าอาชีพ อยู่ระหว่างการรออนุมัติตัวเลขที่เสนอเข้ามา ซึ่งประเด็นนี้ ผู้ประกอบการเห็นด้วย
ทบทวนปรับค่าแรงไม่ถือว่ากลืนน้ำลาย
ส่วนที่มองว่า รมว.แรงงาน จากเพื่อไทย ให้ความสำคัญกับการปรับค่าแรงตามฝีมือ มากกว่าพุ่งเป้าไปที่ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทนั้น จะเป็นการกลืนน้ำลายจากนโยบายหาเสียงหรือไม่ นั้น ดร.ชัยยันต์ กล่าวว่า ไม่อยากให้ รมว.มองว่าเป็นการกลืนน้ำลาย เพราะการปรับค่าแรงตามฝีมือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ต้องชื่นชม ถือว่าท่านทำเพื่อประเทศชาติให้เศรษฐกิจเดินได้
ปรับค่าแรงขั้นต่ำ ต้องสะท้อนความเป็นจริง
อีกท่านหนึ่ง นายอรรถยุทธ ลียะวณิช คณะกรรมการค่าจ้าง (ฝ่ายนายจ้าง) กระทรวงแรงงาน ฉายภาพให้เห็นจากนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำ เมื่อปี 12 ปีที่แล้ว ณ เวลานั้น ค่าแรงขั้นต่ำ จ.น่าน 121 บาท กทม.151 บาท ขึ้นเป็น 300 บาทโดยทันที ตอนนั้นมีผู้ประกอบการล้มหายตายจากจำนวนมาก และลูกจ้างถูกลอยแพ ตอนนั้น มีกระแสคนทำงานถูกปลด กลับไปทำงานที่บ้านเป็นผลกระทบและจะเกิดขึ้นอีก ถ้าค่าแรงงานขั้นต่ำขยับไปถึง 600 บาท
ทั้งนี้ ยังไม่ต้องพูดถึง 600 บาท ณ วันนี้ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่มีการทบทวนให้ปรับค่าแรงในกทม. เป็น 400 บาท ทุกประเภทกิจการก็จะเห็นเองว่าทยอยล้มหายตายจากโดยเฉพาะเอสเอ็มอี ซึ่งมีมากกว่า 90 เปอร์เซนต์ของผู้ประกอบการทั้งประเทศ จะได้รับผลโดยตรง ยกเว้นพวกผู้มาลงทุนยักษ์ใหญ่ต่างประเทศคงยังอยู่กันได้ ก็จะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้น แม้นว่าก่อนหน้านี้จะเกิดขึ้นมาแล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่ เปิดมา 40-50 ปี ปลดคนงาน ทยอยปิดตัวไม่อยู่แล้วประเทศไทย
"การปรับค่าแรงขั้นต่ำ ผมคิดว่าเป็นไปได้ยาก เพราะว่า ในการปรับ สิ่งที่คณะกรรมการค่าจ้าง ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 87 ซึ่งกำหนดไว้ชัดเจนเลยว่า ต้องดูองค์ประกอบหลักๆ คือ ความสามารถในการจ่ายของนายจ้างมีไหม ความยังชีพลูกจ้างมีแค่ไหน อย่างละ 40 เปอร์เซนต์ อย่างสุดท้าย 20 เปอร์เซนต์ ดูผลิตภัณฑ์มวลรวมต่างๆเหมาะสมแค่ไหน อีกปัจจัยหลัก คือดูเรื่องเงินเฟ้อ ถ้าเงินเฟ้อเยอะ เงินจะมีค่าลดลง ก็สามารถขึ้นค่าแจ้งได้เยอะเช่นกัน แต่ถ้าเงินเฟ้อน้อย เช่นสองเดือนที่ผ่านมาเงินเฟ้อ แค่ 0.22 เปอร์เซนต์ เท่านั้นเอง แต่ยังมีการขึ้นค่าจ้างใน กทม. จาก 374 บาท เป็น 400 บาท ซึ่งไม่ตรงกั้บคามเป็นจริง และไม่ตรงกับที่คำนวณไว้ เป็นคำถามว่า สมควรทำหรือไม่ที่ผ่านมา” นายอรรถยุทธ กล่าว
ผลักดัน ค่าแรงลอยตัว ตัดจบทุกปัญหา
อย่างไรก็ดี นายอรรถยุทธ ลียะวณิช คณะกรรมการค่าจ้าง (ฝ่ายนายจ้าง) กระทรวงแรงงาน มีความเห็นสอดคล้องกับ ข้อเสนอ นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.แรงงาน หากจะให้ความสำคัญกับการปรับค่าแรงงานตามมาตรฐานฝีมือ ว่า เห็นด้วยและกรรมการค่าจ้างพยายามผลักดันมาเต็มที่ แต่เนื่องจากงบประมาณตามที่ฝ่ายเลขาแจ้งว่า งบประมาณไม่ค่อยมีจึงค่อยทำอย่างเชื่องช้า ตอนนี้เรามีวิชาชีพมาตรฐานฝีมือ ประกาศใช้ไปแล้ว 100 กว่าสาขาอาชีพ เช่น นวดไทย ช่างปูน ช่างเหล็ก คนขับรถ ซึ่งส่วนนี้ ก็เหมือนเป็นการปรับค่าแรงกึ่งลอยตัวด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ถ้าเราผลักดันเยอะๆ ก็จะทำให้ปัญหาการปรับค่าแรงขั้นต่ำจะหมดไป แต่จะหมดไปจริงๆแล้วต้อง เป็นค่าแรงลอยตัว โดยมีเส้นขีดความยากจนเป็นตัวกำหนด ไม่ให้ต่ำลงไปกว่านี้ เพื่อให้ประชาชน ลูกจ้าง อยู่ได้
“ผมพยายามผลักดัน ไม่ใช่ลอยตัวทั้งประเทศอย่างเดียว อยากให้ลอยตัวเป็นรายอาชีพ เป็นรายจังหวัด อย่างเช่น ญี่ปุ่น ทุกจังหวัดลอยตัว และเป็นการลอยตัวทุกอาชีพด้วย “ นายอรรถยุทธ กล่าว
สะกิดนักการเมือง ไม่เคยทบทวนบทเรียน
นายอรรถยุทธ ยังได้สะท้อน นโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง ที่ออกมา และส่งผลกระทบต่อประเทศชาติโดยรวม ว่า การปรับค่าแรงเราเคยได้เห็นบทเรียนกันมาแล้วเมื่อสิบสองปีที่ผ่านมา เมื่อครั้งขึ้นค่าแรงทันทีเป็น 300 บาท ว่าเกิดผลกระทบอะไรตามมาบ้าง แต่บทเรียนแบบนี้ถามว่า นักการเมืองไทย พรรคการเมือง สนใจไหมไม่สนใจหรอก เขาสนใจแต่ว่าทำอย่างไรให้เขาได้รับประโยชน์มีผู้แทนในพรรคเขามากขึ้น ถ้าดูบทเรียนจากต่างประเทศเยอะมาก ประเทศล้มละลาย อย่างเช่น อาร์เจนตินาขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ สามสิบปีมาแล้ว ยังไม่ฟื้นเลย วันนี้ตุรกี เงินเฟ้อ 80 เปอร์เซนต์ อีกแป๊บ ตุรกีจะไม่ไหว ไปทานอาหารจานเดียวต้องพกเงินเป็นฟ่อน เพราะค่าอาหารแพง เราอยากให้บ้านเรา เป็นแบบนั้นหรือไม่
ชมคลิปรายการ >>> ปรับค่าแรงควรเป็นแบบใด