
"เอาจริงๆแล้ว ผมได้เรียนรู้ทั้งนิติบัญญัติแล้วฝ่ายบริหารมาจนครบ รวมถึงเคยทำธุรกิจมานะครับ พอเราได้รับโอกาสมาเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้ใหญ่เขาคงเห็นว่า อ๋อโอเคทำงานได้ ก็เลยกลายมาเป็นอย่างนี้ครับ " พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.แรงงาน กล่าวกับเนชั่นทีวี
"พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ" ชื่อเล่น "โฟม" นับเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ไฟแรงจากพรรคเพื่อไทย ขยับก้าวจากรองหัวหน้าพรรคขึ้นสู่ตำแหน่งรมว.แรงงงาน ในการปรับคณะรัฐมนตรีแพทองธาร 1/1 ที่ผ่านมา
ด้วยวัยเพียง 45 ปี แต่ดีกรีการศึกษาและประสบการณ์ทำงานทางการเมืองบอกได้เลยว่า "เกินเบอร์"
"โฟม" สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมโยธา จากวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และ ปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จาก คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต เคยทำงานในภาคธุรกิจเอกชน ก่อนที่จะเข้ามาสู่สนามการเมืองได้เรียนรู้งานนิติบัญญัติ และมีประสบการณ์ทางการบริหาร เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) มาก่อน
ด้วยนามสกุล "จึงรุ่งเรืองกิจ" ทำให้คอการเมือง จับจ้องเส้นทางการเมืองของเขาเป็นพิเศษท่ามกลางคำถามเป็นเพราะ"ตระกูลการเมือง" / เป็นเพราะกลุ่มทุนส่งเข้าประกวดหรือไม่ จึงทำให้ได้มีโอกาสขยับขึ้นสู่ เก้าอี้ รมว.แรงงาน อันเป็นเก้าอี้เกรดเอทางการเมือง
" ไม่ได้มีการจีบอะไรกันอย่างนั้น เหมือนกับว่า ทางผู้ใหญ่มองว่าเราทำงานได้ ผมเคยพูดไปในที่อื่นแล้วว่า ตัวผมเอง เมื่อก่อนทำงานภาคธุรกิจ เคยเป็น CEO บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ พอมาเล่นการเมืองปี 62 ก็มาเป็นส.ส. วาระ 4 ปี ได้เรียนรู้งานฝ่ายนิติบัญญัติ จากนั้น ย้ายมาอยู่พรรคเพื่อไทย เป็นที่ปรึกษาของรมว.คมนาคม อีก 2 ปี ได้เรียนรู้งานฝ่ายบริหาร ฉะนั้น ผมได้เรียนรู้ทั้งนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารมาจนครบ รวมถึงเคยทำธุรกิจ พอได้รับโอกาสมาเป็นรองหัวหน้าเพื่อไทย ผู้ใหญ่เขาคงเห็นว่า ทำงานได้ เลยกลายมาเป็นอย่างนี้ครับ" พงศ์กวิน เล่าที่มาที่ไปสู่ตำแหน่งรมว.แรงงาน
ถาม ทำไมถึงมาลงล็อคที่ทางกระทรวงแรงงาน
"อย่างที่บอก ผมเคยทำภาคธุรกิจมา ปกติการทำภาคธุรกิจเมื่อก่อน ตอนที่ทำที่บ้านนะครับ พนักงานน่าจะหลายพันคน เรามีการ handle เกี่ยวกับเรื่องแรงงานมาตลอด มีความเข้าใจเกี่ยวกับแรงงานพอสมควร เพราะฉะนั้น ผมว่า มุมมองของการที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นมุมมองแค่เหมือนกับคล้ายๆกลับด้านกันนะ"
ลำบากใจหรือไม่ ตระกูล"จึงรุ่งเรืองกิจ" รับตำแหน่ง รมว.แรงงาน
"ไม่เลยครับผม เพราะ เวลาเรามาทำงาน ทุกคนก็มีความมุ่งหมายของตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเรามาจากตระกูลไหน เรามาจากนามสกุลอะไรถูกมั้ยครับ ทุกคนมีจุดมุ่งหมายของตัวเองว่าอยากเข้ามาทำอะไรเพื่อประเทศบ้างใช่มั้ยครับ สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในใจเ เรามีpassionอยู่ว่า เราอยากจะทำให้ประเทศนี้มันดีขึ้นใช่มั้ย เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาส เราก็รู้สึกว่าตอนนี้กำลังactiveอยู่
"ส่วนที่คนมองว่า นั่นก็อา ( สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม) นี่ก็หลาน ( พงศ์กวิน ) ไม่เป็นไรครับ ต้องสู้ เพราะในที่สุด ทั้งหมดต้องจบที่ผลงาน สมมุติว่าเราสามารถทำให้กระทรวงแรงงาน พัฒนาต่อไปได้ แสดงว่าเรามีศักยภาพเพียงพอ แต่ถ้าเราทำไม่ได้ คนเขาจะต่อว่าก็เป็นเรื่องที่ถูกแล้วเพราะคุณทำไม่ได้ ผมมอง เป็นเรื่องปกติ"
แพลนงานระยะสั้น- กลาง -ยาว
รมว.แรงงานคนใหม่ แจกแจงแผนการทำงานกระทรวงแรงงานว่า ลำดับแรกต้องทำให้เกิดความโปร่งใสก่อน เพราะว่าความโปร่งใสจะสร้างความเชื่อมั่นดังนั้น เขากำลังไล่สะสางเคลียร์ปมปัญหาเก่าที่ตกเป็นข่าวอยู่ในกระแส อย่างเช่น กรณี ฝ่ายค้าน ตรวจสอบการจัดซื้อตึกสกายไนน์ ที่มีมูลค่าแพงเกินปกติ กว่า 7,000 ล้านบาท
"ตอนนี้ ต้องรอผลจากคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมา ซื้อแพงเกินจริงหรือไม่ สมมุติว่ามีผลมาปุ๊บ ผมจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ คือเราต้องรู้ข้อเท็จจริงก่อน"
อีกเรื่อง กรณี ดีเอสไอ ตรวจสอบปมเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหักหัวคิวการต่อใบอนุญาตแรงงานต่างด้าว ซึ่งเรื่องนี้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเคยเล่าบนเวทีสามบก.เนชั่น มีการทำเป็นขบวนการ หาประโยชน์จากต่อใบอนุญาติ โอนเงินกันไปมาจากฝั่งไทยไปให้จนท.แรงงานกัมพูชา และโอนกลับมาไทย เกือบ 400 ล้านบาท
"หัวคิวแรงงาน ตามที่ DSI ติดตามสืบสวนอยู่นั้น ที่บอกว่า 400 ล้านหรือหลายพันล้าน อธิบายก่อนว่าการคำนวณมันต่างกันไม่ได้ต่างกันจากอะไรนะ ต่างจากการที่เป็นตัวเลขประเมิน ประเมินว่าเหมือนกับตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง อาจจะประมาณสัก 400 ล้านบาทเท่าที่เราเห็นใช่มั้ย แต่ประเมินจริงๆแล้ว ควรจะสูงเท่านี้เป็นหลายพันล้าน"
"ขั้นตอนส่วนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับข้าราชการไทยก่อนนะครับ เรื่องที่เกิดขึ้น ต้องพูดว่า เจ้าหน้าที่ของต่างประเทศแล้วกัน มีการเรียกเก็บเงิน เป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม คนของเขาที่อยู่ในประเทศไทย แล้วก็ส่งเงินไปให้ต่างประเทศ เพื่อไปดำเนินการเรื่องเอกสารตามรายการต่างๆ ซึ่งดำเนินการเอกสารหรืออาจจะมีอย่างอื่นด้วยอันนี้เราไม่ทราบ เพราะยังไม่ได้ผลสรุปออกมาว่าเป็นอย่างไร แต่ว่ามีการเรียกเก็บเงินจากทางโน้นถูกไหม การเรียกเก็บเงินทางนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ไทย เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องรอผลสรุปจาก DSI ก่อนว่าสรุปแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ ว่าสรุปแล้วเส้นทางที่โอนไปถึงต่างประเทศแล้วมีการโอนกลับมายังนักการเมืองในไทยหรือไม่ ถ้าเกิดมีเราก็ต้องว่ากันต่อไป แต่ตอนนี้ยังไม่มีกระบวนการยังไม่ถึงตรงนั้นนะครับ แต่เราต้องพยายามทำให้กระจ่างขึ้น" พงศ์กวิน กล่าวถึงงานเร่งด่วนที่ต้องสะสาง
พงศ์กวิน เล่าถึงแผนงานระยะกลางว่า กระทรวงแรงงานให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ต้องมีการ Upskill Reskill เนื่องจากเศรษฐกิจไทย ยังพึ่งพาธุรกิจแบบเก่าค่อนข้างเยอะ ต้องพยายามให้ผู้ใช้แรงงานมีสกิลในธุรกิจแบบใหม่ด้วย
"เราจะมีการ Upskill Reskill ตัวอย่างเช่น ด้าน AI มีเรื่อง Data Labelling คือ การทำให้ AI มีการเรียนรู้เรื่องต่างๆ โดยข้อเท็จจริง มีการจ้างงานค่อนข้างจะสูงมากในหมวดนี้ แล้วค่าแรงถือว่าค่อนข้างดี เท่าที่ผมทราบ อาจจะประมาณ 30,000 บาทขึ้นไปสำหรับ Data Leveling นี่จึงอีกธุรกิจ สมมุติว่าผมสามารถไป Connect กับบริษัทใหญ่ๆเพื่อให้เขามาลงทุนในประเทศไทยให้เราเป็น HUP เรื่อง Data Labeling จะสามารถทำให้ประเทศไทยมีรายได้ที่สูงขึ้น จึงเป็นโจทย์หนึ่งจะทำให้เรายกระดับค่าเฉลี่ยแรงงานขึ้นไปได้"
ส่วนแผนงานระยะยาว "พงศ์กวิน" เปิดเผยว่า ต้องมีการแก้กฎหมายในหลายๆเรื่อง เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิสหภาพแรงงานอะไรทั้งหลาย บางแห่งที่ยังสิทธิผลประโยชน์ไม่ดีพอ การแก้กฎหมายอาจใช้เวลาประมาณ 2 ปี
แจงปมร้อน ปรับค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท?
อีกประเด็นสำคัญ คือ การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งดูจะเป็นปมร้อนทางการเมืองเพราะเพื่อไทย เคยประกาศเป็นนโยบายหาเสียงจะปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำถึง 600 บาท
"พงศ์กวิน" อธิบายว่า ต้องแบ่งแยกประเภท เนื่องจากสมัยนี้มีเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ก็จะบางส่วนอาจจะบอกว่าถูกไป บางส่วนก็อาจจะบอกต้องบอกว่ายังแพงไปถูกมั้ยครับ เพราะว่าตอนนี้เรายังเป็นลักษณะผสมกันระหว่างธุรกิจแบบเก่ากับแบบใหม่อยู่ถูกมั้ยครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดคนที่ยังทำธุรกิจแบบเก่า อาจจะมองว่าค่าแรงเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะว่าประเทศไทยเป็นฐานผลิตOEM เยอะพอสมควร ซึ่งพอเป็นอย่างนั้นปุ๊บ ถ้าเกิดขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเยอะๆ จะมีปัญหา แต่ว่า ถ้าเกิดเรามองค่าแรงโดยเฉลี่ย เป็นข้อมูลที่มีอยู่ในประกันสังคม 24 ล้านคน ค่าแรงเฉลี่ยอยู่ 618 บาทต่อวัน
ผมก็เลยมองว่าเราจะยกระดับค่าแรงเฉลี่ยตรงนี้ ไม่ใช่ค่าแรงเฉลี่ยนะครับไม่ใช่ค่าแรงขั้นต่ำนะ เดี๋ยวจะเข้าใจผิด คือสูงบ้างต่ำบ้างเอามาเฉลี่ยกัน คราวนี้ เราจะไปมองว่าคนไหนที่อยู่ใต้ MEAN (ค่าเฉลี่ย) ก็จะพยายามไป Upskill Reskill เขาให้ไปอยู่ในสายงานที่เขาสามารถมีค่าแรงที่สูงขึ้น จะทำให้ ค่าแรงเฉลี่ยยกตัวขึ้น คราวที่แล้วที่ผมเคยพูดไปว่าจะทำให้ค่าแรงเฉลี่ยขึ้นไปอยู่ที่ 650 บาทต่อวัน
ถาม คนจะเข้าใจหรือไม่ เพราะคนส่วนใหญ่มองว่าต้องปรับค่าแรงขั้นต่ำตามที่เคยประกาศไว้ไปเลย
"พงศ์กวิน" บอกว่า เนื่องจากว่าเรามีการผสมกันระหว่างธุรกิจแบบเก่ากับแบบใหม่ ถามบอกว่าถ้าเกิดเราไปมุ่งเน้นธุรกิจแบบเก่ามากๆ เขาก็อยู่ไม่ได้ ซึ่งธุรกิจแบบเก่า ต้องอธิบายก่อนว่าธุรกิจแบบเก่า เขาจะมีการจ้างงานที่สูงถูกมั้ย ในขณะที่ธุรกิจแบบใหม่ เป็นธุรกิจด้าน AI ด้าน IT ใช้คนงานที่น้อยแต่มีทักษะสูงกว่า จำเป็นที่จะต้องผสานทั้ง 2 อย่างเข้าด้วยกัน ถ้าเกิดเราไปเลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง สุดท้ายจะกลายเป็นว่าธุรกิจอีกอย่างหนึ่งจะล้มหายตายจากไป ซึ่งผมเชื่อว่า เราคงไม่ต้องการลักษณะนั้น
"ต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อน ตอนที่นโยบายพรรคเพื่อไทยออกมา เราไม่ได้พูดว่าเราจะยกค่าแรงเป็น 600 บาทก่อนไม่ได้พูดอย่างนั้น เราพูดว่าตอนแรกจะยกค่าแรงขึ้นมาให้ถึง 400 ก่อน หลังจากนั้นเราจะต้องดูว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร สมมุติเศรษฐกิจดีจะทยอยปรับขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง 600 บาท แต่เนื่องจากตอนนี้ มีความผันผวนของโลกไม่ว่าจะเรื่องภาษีของทรัมป์ เรื่องความไม่ค่อย Secureในชายแดน หรือหลายๆเรื่อง ทำให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม การขึ้นค่าแรง โดยที่ไม่มองถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกคงไม่ได้ จำเป็นต้องทำให้สมดุลกันทั้ง 2 ฝ่าย"
อย่างไรก็ตาม การปรับค่าแรงทุกครั้ง จะต้องผ่านด่านไตรภาคี โดยเฉพาะข้อเสนอควรปรับค่าแรงตามทักษะฝีมือแรงงาน ซึ่งประเด็นนี้"พงศ์กวิน" เห็นด้วย
"อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้น ถ้าขึ้นค่าแรงโดยที่ไม่มีการ Upskill ไม่มีนายจ้างคนไหนอยากจ่ายถูกมั้ย ฉะนั้น เราต้องไปดูก่อนว่า คนที่ค่าแรงต่ำกว่า 400 บาท ณ ปัจจุบัน ในฐานข้อมูลของประกันสังคม มีอยู่แค่ประมาณ 2.3 ล้านคนใน 2.3 ล้านคน แบ่งเป็นคนไทย 1.8 ล้านคน แล้วก็เป็นคนต่างด้าว 500,000 คน ฉะนั้นเนี่ยสิ่งที่เราต้องทำ คือ ต้องมุ่งเข้าไปในส่วนนี้เพื่อที่จะ Upskill เขา พอเขามี skill มากขึ้น เขาจะมีค่าแรงที่สูงกว่า 400 โดยที่ไม่กระทบกับนายจ้าง
"บอร์ดไตรภาคีจะมีฝ่ายราชการ 5 คน นายจ้าง 5 คน ลูกจ้าง 5 คน เพียงแต่ว่าถามว่า จริงๆแล้ว เราอยากจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำโดยที่ไม่มีการ Upskill ผมคงไม่ทำอย่างนั้น คือการปรับขึ้นค่าแรงต้องขึ้นอยู่แล้ว แต่ว่าขึ้นตามเรทของมัน จะมีทุกปีใช่มั้ย ก็ขึ้นตามนั้น แต่ว่าถ้าเกิดคนไหนที่มี skill ที่สูงกว่านั้น เขาสามารถกระโดดจากค่าแรง 350 ไปเป็นค่าแรง 500 บาทต่อวันได้ เราทำอย่างนั้นดีกว่าจริงมั้ย"
เร่งเจรจา ใบอนุญาตทำงานในมาเลเซีย
"พงศ์กวิน" ยังได้กล่าวถึงงานสำคัญที่กำลังเร่งแก้ปัญหาอยู่ด้วยว่า ตอนเนี้ยที่กำลังแก้ปัญหาแรงงานไทย-มาเลเซีย ทางมาเลเซียมีค่าแรงใกล้เคียงไทย แต่ว่าเขามีตำแหน่งงานที่เยอะพอสมควร แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่าตอนนี่ค่า work permit ค่อนข้างแพง เมื่อแพงก็ไม่อยากจะไปทำให้มันถูกต้องตามกฎหมาย พอไม่ไปทำให้ถูกต้องตามกฎหมายก็เข้าไปเป็นแรงงานผิดกฎหมาย พอเป็นแรงงานผิดกฎหมายสวัสดิการมันก็ไม่ได้ การคุ้มครองตามกฎหมายมันก็ไม่ได้ถูกต้อง เป็นเรื่องที่เราจะต้องไปเจรจากับทางมาเลเซีย เรื่องของ MOU จะสามารถทำอย่างไร ให้ค่า work permit ต่ำลงได้บ้างหรือไม่ เพราะถ้าต่ำลง แรงงานไทยเราได้เข้าไปอย่างถูกกฎหมาย ตอนนี้เองเท่าที่ทราบ มาเลเซีย บอกว่า มีบางส่วนที่กำลังเปิดรับอยู่เกี่ยวกับธุรกิจนวดสปา ค่าแรงประมาณ 30,000 บาท ซึ่งเรากำลังจะไปหารือมาเลเซีย ขอโควต้าตรงนี้ได้หรือไม่ ถ้าได้โควต้าคนงานตรงนี้ จะทำให้เรามีรายได้ที่สูงขึ้นได้
ไม่วิตกสถานการณ์รัฐนาวา ขอทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะ นายกฯแพทองธาร โดนศาลรธน. สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างการวินิจฉัยคดีคลิปเสียงฮุนเซน และหากผลเป็นลบทำให้รัฐบาลอาจไปต่อไม่ได้ ในมุมคิดของ รมต.ป้ายแดง "พงศ์กวิน" กลับเชื่อว่า "รัฐบาลจะอยู่ครบเทอม"
"ผมค่อนข้างเชื่อมั่นรัฐบาลชุดนี้จะอยู่ครบวาระ เพราะว่า เอาจริงๆแล้ว ถามว่าในสิ่งที่เกิดขึ้นหลายๆเรื่อง มันผิดจริงหรือไม่ ผมว่าไม่ได้มีข้อเท็จจริงอย่างนั้น ก่อนเป็นพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่สมัยไทยรักไทย เราน่าจะโดนเยอะกว่านี้ ฉะนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายกฯตอนนี้ จึงเป็นจุดที่ไม่ได้วิตก เราคงทำได้ แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด สุดท้ายอะไรจะเกิด เป็นสิ่งที่ไม่สามารถกำหนดได้" พงศ์กวิน กล่าวทิ้งท้าย
ชมคลิปรายการ >>> เปิดใจ รมต.ใหม่ป้ายแดง "พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ" รมว.แรงงาน