
18 กรกฎาคม 2568 เว็บไซต์สื่อกัมพูชา "ขแมร์ ไทม์ส" (Khmer Times) พาดหัวว่า "ทุ่นระเบิดและการโกหก: ต้นทุนอันตรายจากการยั่วยุทางทหารของประเทศไทย"
โดยพาดพิงเหตุการณ์ที่ทหารไทย เหยียบทุ่นระเบิด ขณะออกลาดตระเวนจากฐานปฏิบัติการมรกตไปยังเนิน 481 ชายแดนไทย-กัมพูชา
เนื้อหาของข่าวระบุว่า การบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ของทหารไทย 3 นาย ใกล้พื้นที่ชายแดนมอมเบย ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างกัมพูชาและไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องน่าเศร้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงผลกระทบที่แท้จริงของการเผชิญหน้าทางทหาร และการรุกรานดินแดน
ขณะที่ไทยรีบอ้างว่าเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นบนแผ่นดินของตนเอง แต่ข้อเท็จจริง ในทางภูมิศาสตร์ และคำแถลงที่ขัดแย้งกันของไทย กลับชี้ให้เห็นถึงความจริงอีกประการหนึ่ง ซึ่งตอกย้ำอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา และเปิดโปงอันตรายจากพฤติกรรมที่ประมาทเลินเล่อของทหารในพื้นที่อ่อนไหว
ทุ่นระเบิดถือเป็นมรดกอันร้ายแรงจากอดีตของกัมพูชา เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ "ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา" (Cambodian Mine Action Centre) หรือ CMAC) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรระหว่างประเทศ ทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อขจัดภัยคุกคามแฝงเร้นเหล่านี้ ที่หลงเหลือจากสงครามกลางเมืองของเรา
ในทางกลับกัน ประเทศไทยไม่เคยเผชิญความขัดแย้งทางอาวุธภายในประเทศ ที่จะทิ้งร่องรอยฝังแน่นอยู่ในดินแดนของตนเอง พื้นฐานความแตกต่างนี้มีความสำคัญ ถ้าทุ่นระเบิดเหล่านี้ เป็นซากของความขัดแย้งในอดีต พวกมันจึงต้องดำรงอยู่ได้เฉพาะในดินแดนกัมพูชาที่เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยร่องรอยของสงครามหลายทศวรรษ ไม่ใช่ของประเทศไทย
รายงานระบุอีกว่า สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์นี้น่าวิตกกังวลยิ่งกว่าเดิมคือ คำกล่าวอ้างของกองทัพไทยที่ว่า ทุ่นระเบิดที่ระเบิดนี้ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดตกค้าง แต่เป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ที่ผลิตในรัสเซีย ที่ทำจากพลาสติกและตรวจจับได้ยากยิ่ง ต่อมามีการค้นพบทุ่นระเบิดเพิ่มอีกหลายลูกในบริเวณใกล้เคียง
เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามง่ายๆ แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ถ้าไทยยืนยันว่าเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นภายในดินแดนของตนเอง ไทยจะยอมว่าเป็นฝ่ายวางทุ่นระเบิดใหม่เหล่านี้หรือไม่ ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น
คำอธิบายที่สมเหตุสมผลเพียงอย่างเดียว คือ ทหารไทยได้ข้ามพรมแดนเข้าไปในดินแดนกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยังคงกำจัดทุ่นระเบิดจากความขัดแย้งในอดีต โดยที่ไทยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย หรือความชอบธรรมในการดำเนินการใดๆ
ขแมร์ ไทม์ส อ้างว่า ในฐานะหน่วยงานกำจัดทุ่นระเบิดชั้นนำของกัมพูชา CMAC ได้ยืนยันว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเขตปลอดทุ่นระเบิดที่ทราบกันดีอยู่แล้ว และเพื่อตอบโต้ข้อขัดแย้งของไทย "เฮง รัตนา" ผู้อำนวยการใหญ่ CMAC ได้ออกคำเตือนที่ตรงไปตรงมาและชัดเจนว่า "ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นภายในเขตอำนาจศาล หรือ การควบคุมของไทย ประเทศไทยต้องรู้เรื่องนี้"
รายงานยังโจมตีต่อด้วยว่า ประเทศไทยกำลังปฏิบัติการอย่างผิดกฎหมายบนแผ่นดินกัมพูชา และจุดชนวนทุ่นระเบิดจากอดีตที่ไม่เคยเกิดขึ้น หรือไม่ก็กำลังวางวัตถุระเบิดอันตรายและกล่าวโทษกัมพูชา ทั้งสองสถานการณ์นี้น่าตกใจอย่างยิ่ง คิดในแง่ดีที่สุดคือ รัฐบาลไทยได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด และในแง่ที่เลวร้ายที่สุดคือ การเผยแพร่เรื่องราวที่ปกปิดความก้าวร้าวด้วยการทำตัวเป็นเหยื่อ
รายงานในช่วงท้ายได้เน้นว่า กัมพูชาไม่ได้แสวงหาความขัดแย้ง เราแสวงหาสันติภาพ ความร่วมมือ และเสถียรภาพ แต่สันติภาพต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความเคารพ เคารพเขตแดนระหว่างประเทศ เคารพข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ และบูรณภาพแห่งเพื่อนบ้าน การลาดตระเวนอย่างไม่ยั้งคิดในพื้นที่พิพาท ซึ่งแฝงตัวอยู่ในรูปของ "ปฏิบัติการปกติ" ล้วนเป็นอันตรายต่อชีวิต และผลักดันภูมิภาคของเราให้เข้าใกล้การเผชิญหน้า
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ต้องเป็นสัญญาณเตือนผู้นำไทยว่า ถึงเวลาแล้วที่จะหยุดปลุกกระแสชาตินิยมด้วยการกล่าวอ้างที่คลุมเครือ และการวางท่าทีเผชิญหน้า ถ้าประเทศไทยมุ่งมั่นต่อสันติภาพอย่างแท้จริง ควรเปิดทางให้มีการพิสูจน์ยืนยันเหตุการณ์อย่างโปร่งใส ร่วมมือกับกัมพูชาผ่านช่องทางการทูต และสนับสนุนความพยายามในภูมิภาคเพื่อหลีกเลี่ยงการยกระดับความรุนแรง
ถ้าไทยยังคงปฏิเสธอธิปไตยของกัมพูชา ไปพร้อมกับยกระดับการซ้อมรบในพื้นที่อ่อนไหว ไม่เพียงแต่คุกคามความสัมพันธ์ทวิภาคีเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนจิตวิญญาณแห่งการแก้ไขปัญหาอย่างสันติของอาเซียนอีกด้วย กัมพูชาขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะหุ้นส่วนในภูมิภาค เฝ้าระวังข้อมูลที่ผิดพลาด และสนับสนุนการเจรจาโดยอิงข้อเท็จจริง เพื่อป้องกันการสูญเสียชีวิตเพิ่มอีก
เว็บไซต์สื่อกัมพูชา "ขแมร์ ไทม์ส" (Khmer Times)