6 กรกฎาคม 2568 แนวโน้มการเมืองถูกวิเคราะห์ ประเมิน และคาดเดาไปต่างๆ นานา โดยส่วนมากคิดบนฐานที่ว่า นายกฯแพทองธาร น่าจะไม่ได้ไปต่อ เรียกว่า “ก้าวข้ามแพทองธาร” หรือ ยุค “โพสต์แพทองธาร” (ยุคหลังรัฐบาลแพทองธาร)
ทิศทางที่ประเมินกันก็เช่น
- เพื่อไทยเกาะกลุ่มพรรคร่วมฯเดิม เสนอชื่อ คุณชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตคนที่ 3 นั่งนายกฯต่อ
- เกิดรัฐบาลข้ามขั้วใหม่ “ส้ม จับมือ น้ำเงิน” ตั้ง “นายกฯเฉพาะกาล - รัฐบาลเฉพาะกิจ” เดินหน้าสู่ยุบสภา-เลือกตั้ง
- รัฐประหารแบบใช้รถถัง หรือไม่ใช้รถถัง คือ นิติสงคราม มาตรา 144
ทั้งหมดเป็นการคาดเดาโดยคอการเมือง และนักวิเคราะห์หน้าจอ
แต่การประเมินแนวโน้มที่ทุกฝ่ายต้องให้น้ำหนัก คือ การประเมินของหน่วยงานความมั่นคงซึ่งอยู่กับข้อมูล และมีการประเมินกันภายใน แต่ไม่ใช่ “ฉบับทางการ” ที่เสนอต่อรัฐบาลหรือหน่วยงานเหนือรัฐบาล
รายงานการประเมิน ถือว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง กล่าวคือ
- ฝ่ายความมั่นคงเองก็ยอมรับว่า สถานการณ์ขณะนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ สามารถกดดันให้การเมืองมีโอกาสเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้หลายทาง
- ตัวแปรที่มีความสำคัญต่อความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ คือ
1.การดำรงอยู่ หรือการหมดสิ้นอิทธิพลของ นายทักษิณ นางสาวแพทองธาร และเครือข่ายแวดล้อม
2.การประสานความร่วมมือระหว่างพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคขนาดกลางและเล็กอื่นๆ ภายใต้เงื่อนไขที่พรรคเหล่านั้นยอมรับได้
3.เกิดภาวะสงครามบริเวณชายแดน ซึ่งแม้อาจไม่เป็นสงครามใหญ่ แต่มีความยืดเยื้อ และ/หรือมีมหาอำนาจเข้าแทรกแซง ไม่ว่าฝ่ายใด
4.เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ อันเป็นผลจากสงครามทางการค้าระหว่างมหาอำนาจ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อไทย โดยเฉพาะต่อประชาชนที่ต้องหาเช้ากินค่ำ จนเกิดกระแสเรียกร้องขนานใหญ่ให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาล โดยไม่จำเป็นว่าต้องมาจากการเลือกตั้งหรือไม่
พิจารณาจากตัวแปรทั้ง 4 ตัว สามารถประเมินแนวโน้มของสถานการณ์ได้ 4 ฉากทัศน์ คือ
1.หากคดีสำคัญทางการเมืองของนายทักษิณ และ นางสาวแพทองธาร ถูกตัดสินเป็นผลลบทั้งคู่ เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะยังคงหาทางดำรงความเป็นรัฐบาลเอาไว้ต่อไป เพื่อรักษาความได้เปรียบ โดยเสนอชื่อแคนดิเดตคนที่สามของพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี
รวมทั้งอาจพยายามดึงพรรคภูมิใจไทยกลับมาร่วมรัฐบาลอีกครั้ง โดยยอมคืนตำแหน่งทางการเมืองที่ภูมิใจไทยเคยดำรงอยู่เดิมให้
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้เช่นกันที่ภูมิใจไทยจะยื่นเงื่อนไข ต่อรองให้ นายอนุทิน ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแทน
แต่แนวทางนี้คาดว่ามีความเป็นไปได้น้อย เพราะนายอนุทินตระหนักดีว่า การก้าวขึ้นเป็นนายกฯในสถานการณ์เช่นนี้ ยังขาดความมั่นคง และเป้าหมายทางการเมืองของนายอนุทิน มองไปที่การเลือกตั้งในอนาคตมากกว่า
2. เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง โดยการจับมือกันระหว่างพรรคประชาชน กับพรรคภูมิใจไทย และพรรคขนาดเล็กอีกบางพรรค
ฉากทัศน์นี้มีความเป็นไปได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับคำตัดสินของศาลในคดีนายทักษิณ และนางสาวแพทองธาร หากคำตัดสินออกมาเป็นลบ อาจช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมืองให้ภูมิใจไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ หากภูมิใจไทยตัดสินใจร่วมกับพรรคประชาชนในการโหวตชิงนายกรัฐมนตรี ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความขัดแย้งใหม่ เพราะภูมิใจไทยน่าจะไม่รับเงื่อนไขของพรรคประชาชน จนอาจกลับมาร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง
ประกอบกับ พรรคการเมืองทุกพรรคน่าจะไม่อยากร่วมรัฐบาลภายใต้เงื่อนไขของพรรคประชาชน เนื่องจาก ทุกพรรคไม่พร้อมเลือกตั้งใหม่ ซึ่งมีโอกาสที่พรรคของตนจะได้ที่นั่ง สส.ลดลงมาก รวมถึงประเด็นผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมที่พ่วงคดี 112
3. มีการประกาศยุบสภา และเลือกตั้งใหม่
ฉากทัศน์มีความเป็นไปได้ในกรณีที่พรรคภูมิใจไทยยอมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชน โดยบริหารประเทศไประยะหนึ่งแล้วยุบสภา
แต่ฉากทัศน์นี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหาก นางสาวแพทองธาร ไม่ถูกศาลตัดสินเพิกถอนสถานะนายกฯ หรือหากถูกตัดสิน แต่เพื่อไทยก็ยังสามารถแสวงหาเสียงสนับสนุนเพียงพอที่จะตั้งรัฐบาลได้ต่อไป โดยใช้แคนดิเดตคนที่ 3
4.สถานการณ์ด้านความมั่นคงของชาติกดดันทำให้เกิดรูปแบบการแก้ปัญหาในภาวะไม่พึงประสงค์ เช่น
- เกิดภาวะสงครามยืดเยื้อบริเวณชายแดน หรือเกิดสงครามทางการค้าระหว่างมหาอำนาจ เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในประเทศ และหรือสงครามทางทหารระหว่างมหาอำนาจ จนเกิดแรงบีบให้ไทยต้องเลือกข้าง ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นวงกว้าง
- สภาพการณ์ดังกล่าวอาจทำให้ฝ่ายการเมืองเผชิญแรงกดดันให้เร่งหาทางแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน และไม่สามารถรอให้กระบวนการทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งดำเนินต่อไปได้
- แรงกดดันดังกล่าวอาจทำให้จำเป็นต้องเกิด “รัฐบาลสมานฉันท์” ที่มีการคัดกรองมืออาชีพเข้ารับช่วงบริหารประเทศจนกว่าวิกฤตด้านความมั่นคงจะคลี่คลาย
หมายเหตุท้ายรายงาน หากให้น้ำหนักฉากทัศน์ดังกล่าว ฉากทัศน์ที่ 1 น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด ส่วนฉากทัศน์ที่ 4 มีความเป็นไปได้น้อยที่สุด