svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

UN เปิดโปง "กัมพูชา" แหล่ง "เครือข่ายการค้ามนุษย์ข้ามชาติ" บังคับเหยื่อทำงาน

UN เปิดโปง "กัมพูชา" แหล่ง "เครือข่ายการค้ามนุษย์ข้ามชาติ" บังคับเหยื่อทำงานใน "ศูนย์หลอกลวงออนไลน์" ธุรกิจมืดสร้างรายได้หลายพันล้าน

28 มิถุนายน 2568  สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ผู้รายงานพิเศษสหประชาชาติ 3 คน

 

ได้ส่งจดหมายเตือนภัยฉบับด่วนถึง รัฐบาลกัมพูชา เปิดเผยความจริงที่น่าสะเทือนใจเกี่ยวกับเครือข่ายการค้ามนุษย์ระดับอุตสาหกรรมที่บังคับให้คนทำงานเป็นเครื่องมือหลอกลวงออนไลน์

โทโมยะ โอโบกะตะ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นทาสยุคใหม่, วิทิต มันตาร์ภรณ์ ผู้เฝ้าดูสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา และ ชิอบัน มัลลาลี ผู้ปกป้องผู้หญิงและเด็กจากการค้ามนุษย์ ได้รวมตัวกันส่งจดหมายฉบับนี้ หลังพบหลักฐานว่าปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ แต่เป็นธุรกิจมืดขนาดใหญ่ที่กำลังขยายตัวอย่างน่ากลัว

 

 

UN เปิดโปง "กัมพูชา" แหล่ง "เครือข่ายการค้ามนุษย์ข้ามชาติ" บังคับเหยื่อทำงาน

 

UN เปิดโปง "กัมพูชา" แหล่ง "เครือข่ายการค้ามนุษย์ข้ามชาติ" บังคับเหยื่อทำงาน

การหลอกลวงเริ่มต้นง่ายๆ แค่เปิด Facebook, Instagram, TikTok หรือแม้แต่ LinkedIn ก็เจอโฆษณาหางานที่ดูดีเหลือเกิน บริษัทในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ในภูมิภาค เสนอเงินเดือนหลักหมื่น โบนัสทุกเดือน บวกที่พักและอาหารฟรี สำหรับงาน "ออนไลน์" ที่ไม่ต้องใช้ทักษะพิเศษอะไร
คนที่ตกเป็นเหยื่อมาจากทั่วเอเชีย โดยเฉพาะ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เมียนมา ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ลาว จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย บังกลาเทศ และอีกหลายประเทศ


ผู้รายงานพิเศษ UN พบว่า เหยื่อส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาววัยทำงาน มีการศึกษาดี รู้จักใช้เทคโนโลยี บางคนเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์ บางคนจบใหม่ที่กำลังหางานทำ และบางคนเป็นคนวัยกลางคนที่อยากเปลี่ยนอาชีพ

 

 

UN เปิดโปง "กัมพูชา" แหล่ง "เครือข่ายการค้ามนุษย์ข้ามชาติ" บังคับเหยื่อทำงาน

 

UN เปิดโปง "กัมพูชา" แหล่ง "เครือข่ายการค้ามนุษย์ข้ามชาติ" บังคับเหยื่อทำงาน

 

UN เปิดโปง "กัมพูชา" แหล่ง "เครือข่ายการค้ามนุษย์ข้ามชาติ" บังคับเหยื่อทำงาน

 

UN เปิดโปง "กัมพูชา" แหล่ง "เครือข่ายการค้ามนุษย์ข้ามชาติ" บังคับเหยื่อทำงาน
 


เมื่อถึงจุดหมาย ชีวิตเปลี่ยนเป็นนรก

 


เมื่อเหยื่อเดินทางถึงแล้ว สิ่งที่รอพวกเขาไม่ใช่งานในออฟฟิศหรูหรา แต่เป็นอาคารที่ดูเหมือนโรงงาน มีกำแพงสูง มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดปืนคอยเฝ้า
สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือ การริบหนังสือเดินทางและโทรศัพท์ ตัดการติดต่อกับโลกภายนอกทันทีเลย จากนั้นพวกเขาจะถูกแจ้งว่า ต้องทำงานหาเงิน "ตามที่ตกลงกัน" แต่งานที่ว่านั้นไม่ใช่งานธรรมดา


 
พวกเขาต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ทำงานวันละ 12-15 ชั่วโมง บางคนถูกล่ามโซ่ไว้กับโต๊ะทำงาน ไม่ให้ไปไหนได้ แม้แต่ห้องน้ำก็ต้องขออนุญาต งานของพวกเขาคือ หลอกคนอื่นๆ บนอินเทอร์เน็ต


 
งานที่ต้องทำ: หลอกคนอื่นให้เสียเงินเหยื่อเหล่านี้ถูกบังคับให้ทำการฉ้อโกงออนไลน์หลายรูปแบบ

 


•    การหลอกลวงความรัก - แกล้งทำเป็นหนุ่มสาวหล่อสวย สร้างความสัมพันธ์ทางอินเทอร์เน็ตกับเหยื่อ แล้วค่อยๆ ขอเงิน อ้างว่าเจอปัญหาเร่งด่วน
•    การลงทุนปลอม - ชักชวนให้คนลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล หุ้น หรือโครงการต่างๆ ที่เป็นกับดัก แล้วเอาเงินหาย
•    กาสิโนออนไลน์เก๊ - ล่อให้คนเล่นการพนันในเว็บไซต์ปลอม ที่จริงแล้วเงินที่เสียไปตกเป็นของกลุ่มนี้


 
สิ่งที่โหดร้ายที่สุดคือ เหยื่อเหล่านี้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำผิด แต่ไม่มีทางเลือก เพราะถ้าไม่ทำหรือทำไม่ได้ตามเป้า รอพวกเขาคือการทรมาน


 
เมื่อไม่ทำตามเป้า รอแต่การทรมาน


รายงานของ UN เผยรายละเอียดสยดสยองของการทรมานที่เกิดขึ้น หากเหยื่อไม่สามารถหาเงินได้ตามเป้าที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็นในแต่ละวันหรือแต่ละเดือน พวกเขาจะถูก


•    ตีด้วยไม้เบสบอล หรือเครื่องมือต่างๆ
•    ใช้ไฟฟ้าช็อต
•    ขังเดี่ยวในห้องมืดเป็นวันๆ
•    บังคับให้ดูการทรมานคนอื่นเพื่อเป็นตัวอย่าง
•    ใช้ความรุนแรงทางเพศ โดยเฉพาะกับผู้หญิง


 
มีเหยื่อหลายคนถึงกับเสียชีวิตจากการทรมาน หรือเพราะไม่ได้รับการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย

 


 
ระบบหนี้สินที่ไม่มีวันหมด

 


สิ่งที่ทำให้เหยื่อไม่สามารถหลุดออกมาได้ คือระบบ "หนี้สิน" ที่ถูกสร้างขึ้น กลุ่มอาชญากรจะบอกว่า การเดินทางมาที่นี่, ที่พัก, อาหาร ทุกอย่างคือ "หนี้" ที่ต้องใช้งานใช้หนี้
 
แต่หนี้นี้ไม่มีวันหมด เพราะดอกเบี้ยเพิ่มทุกวัน ค่าปรับถ้าทำผิดกฎ ค่าอาหารค่าไฟ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้จะทำงานหาเงินได้มากแค่ไหน
 
บางครั้งเหยื่อจะถูก "ขาย" ให้กับศูนย์อื่น เหมือนสินค้า ทำให้ต้องเริ่มต้นใหม่ หนี้ก็เพิ่มอีก


หากครอบครัวพยายามติดต่อหา กลุ่มอาชญากรจะขู่ขอเงินไถ่ พร้อมส่งรูปถ่ายการทรมานเป็นหลักฐาน บางครอบครัวต้องขายที่ดิน ขายบ้าน เพื่อเอาเงินไปไถ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คนกลับมา

 


 
กัมพูชา: จากสวรรค์นักท่องเที่ยวสู่นรกการค้ามนุษย์

 


ที่น่าเศร้าคือ กัมพูชาที่เคยเป็นจุดหมายท่องเที่ยวที่สวยงาม กลับกลายเป็นจุดศูนย์กลางของธุรกิจมืดนี้ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา
 
UN พบว่า เมื่อศูนย์หลอกลวงในเมียนมาถูกปราบปราม พวกเขาก็ย้ายมาตั้งฐานในกัมพูชาแทน ปัจจุบันมีศูนย์หลอกลวงกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของกัมพูชา อย่างน้อย 17 แห่ง ได้แก่
•    สีหนุวิลล์, ไปลิน, อันลองเวง โอสมาจ, พนมเปญ, กัณฑาล, ปุรซัต, เกาะกง, บาเวต, เจรย์ธม, กำปอต, เปรียะสีหนุก, อุทารมีนเจย์, ปอยเปต, สวายเรียง, จังหวัดบันเตียเมนจย์, เขตเศรษฐกิจพิเศษดาราสกอร์ และเขตเศรษฐกิจพิเศษเฮงเท็มอร์ดา

 


 
อุตสาหกรรมที่ทำรายได้หลายพันล้าน


สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ ธุรกิจมืดนี้ได้พัฒนาไปสู่ระดับอุตสาหกรรมจริงๆ ไม่ใช่แค่กลุ่มเล็กๆ ที่ทำกันในซอกมุม แต่เป็นเครือข่ายใหญ่ที่มีการลงทุนสร้างอาคาร จ้างรปภ. ติดอาวุธ มีระบบการจัดการที่เป็นมืออาชีพ
 

กลุ่มอาชญากรเหล่านี้สร้างรายได้หลายพันล้านบาทต่อปี จากการหลอกลวงคนทั่วโลก ส่วนหนึ่งจากรายได้นี้ถูกใช้ในการซื้อเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง และผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

 


 
เมื่อหลบหนีสำเร็จ แต่ยังไม่รอด


แม้จะมีเหยื่อบางคนหลบหนีออกมาได้ หรือถูกช่วยเหลือ แต่ปัญหาไม่ได้จบลงแค่นั้น หลายคนไม่ได้รับการดูแลในฐานะ "เหยื่อ" แต่กลับถูกมองเป็น "อาชญากร" เพราะเป็นคนที่ไปหลอกคนอื่น


 
ผู้ที่รอดชีวิตกลับมาถึงประเทศตัวเองมักถูกจับกุม ถูกดำเนินคดีในข้อหาฟอกเงิน ร่วมขบวนการอาชญากรรม หรือเข้าเมืองผิดกฎหมาย บางคนต้องจ่ายค่าปรับก้อนโต หรือถูกติดเครื่องตรวจจับอิเล็กทรอนิกส์


 
การที่เหยื่อเหล่านี้มีสัญญาจ้างงาน (แม้จะเป็นปลอม) หรือได้รับเงินบ้าง (แม้จะน้อยนิด) ทำให้เจ้าหน้าที่บางส่วนไม่เข้าใจว่า นี่คือการค้ามนุษย์ ไม่ใช่การหางานธรรมดา


 


สถานทูตช่วยไม่ได้ ศูนย์ช่วยเหลือไม่มี

 


ปัญหาใหญ่อีกประการคือ เมื่อเหยื่อต้องการความช่วยเหลือ สถานทูตหรือสถานกงสุลของประเทศตัวเองมักให้ความช่วยเหลือไม่เพียงพอ ไม่มีศูนย์พักพิงสำหรับเหยื่อ โดยเฉพาะเหยื่อที่เป็นผู้ชาย


การส่งกลับประเทศมักใช้เวลานาน เหยื่อต้องถูกกักกันในศูนย์ควบคุมคนเข้าเมืองเป็นเดือนๆ ก่อนจะได้กลับบ้าน

 


 
เครือข่ายคอร์รัปชันและการปิดปากสื่อ


UN ชี้ว่า ธุรกิจมืดนี้สามารถดำเนินต่อไปได้เพราะมีการซื้อเจ้าหน้าที่รัฐในระดับสูง ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ไปจนถึงนักการเมืองและนักธุรกิจมีอิทธิพล
 
ในขณะเดียวกัน การรายงานข่าวถูกจำกัด สื่อมวลชน นักข่าว และองค์กรสิทธิมนุษยชนที่พยายามเปิดเผยเรื่องนี้มักถูกข่มขู่ หรือถูกดำเนินคดี ความก้าวหน้าของระบบการเงินออนไลน์ การฟอกเงิน และระบบธนาคารใต้ดิน ทำให้การส่งเงินและซ่อนรายได้จากการหลอกลวงทำได้ง่ายขึ้น


 
UN ตั้ง 15 คำถาม เรียกร้องคำตอบ


ผู้รายงานพิเศษ UN ได้ตั้งคำถาม 15 ข้อให้รัฐบาลกัมพูชาตอบ ซึ่งหากสรุปง่ายๆ ได้แก่:


1.    ยอมรับหรือไม่ ว่ามีปัญหานี้จริง และจะทำอย่างไรบ้าง
2.    จะสืบสวนอย่างไร และจะปกป้องเหยื่อได้มากแค่ไหน
3.    จะปิดศูนย์หลอกลวงอย่างไร และทำไมยังปิดไม่ได้สักที
4.    จะช่วยเหยื่อหญิงและเด็กอย่างไร ให้เหมาะสมกับเพศและวัย
5.    จะส่งคนกลับบ้านอย่างไร ให้ปลอดภัยและสมัครใจ
6.    จะไม่ลงโทษเหยื่ออย่างไร เมื่อรู้ว่าพวกเขาถูกบังคับ
7.    กฎหมายที่ใช้จับผู้กระทำผิด มีอะไรบ้าง และใช้ได้ผลมั้ย
8.    จะช่วยคนต่างชาติอย่างไร ให้ติดต่อสถานทูตได้
9.    จะชดเชยเหยื่ออย่างไร ที่ถูกทำร้ายและเสียหาย
10.    จะปกป้องสื่อและนัก NGO อย่างไร ให้ทำงานได้อย่างอิสระ

 

 


รวมถึงคำถามอีก 5 ข้อที่ต้องการให้รัฐบาลอธิบายว่า จะแก้ปัญหาคอร์รัปชัน ปกป้องคนที่มาแจ้งข้อมูล และทำงานร่วมกับประเทศอื่นอย่างไร

 


 
ส่งจดหมายเตือน 8 ประเทศ เรียกประชุมด่วน


UN ไม่ได้ส่งจดหมายให้แค่กัมพูชาประเทศเดียว แต่ยังส่งไปยัง กองทัพเมียนมา, อาเซียน, จีน, ลาว, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย และเวียดนาม ด้วย
 
นี่แสดงให้เห็นว่า ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นวิกฤตระดับภูมิภาคที่ต้องการการแก้ไขร่วมกัน

 


 
เวลาไม่รอ ชีวิตคนไม่รอ

 


ผู้รายงานพิเศษ UN แจ้งชัดว่า จะเผยแพร่รายละเอียดเรื่องนี้สู่สาธารณะภายใน 60 วัน ไม่ว่ารัฐบาลจะตอบหรือไม่ก็ตาม เพราะเชื่อว่าประชาชนทั่วโลกควรรู้ความจริงนี้
 
ในขณะที่รอคำตอบ พวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาดำเนินมาตรการฉุกเฉินเพื่อหยุดการละเมิดสิทธิมนุษยชนนี้ทันที และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก

 


 
สำหรับคนที่กำลังมองหาความฝันใหม่ๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย ขอให้ระวังให้มาก โลกออนไลน์เต็มไปด้วยกับดักที่อาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล
 
และสำหรับครอบครัวที่มีคนหายไป หลังจากไปทำงานต่างประเทศ อย่าลืมว่า ยังมีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็น UN, องค์กรสิทธิมนุษยชน หรือสถานทูต


 
เพราะในโลกนี้ ไม่มีใครสมควรที่จะถูกทำให้เป็นทาส ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม

 

 

เปิดรายงานUN กัมพูชาศูนย์กลางการค้ามนุษย์