เปิดท่าทีสถาบันการเมืองนอกสภา ปมฝรั่งเศสออกตัวช่วยกัมพูชา

13 มิถุนายน 2568 ยังคงอยู่ในบรรยากาศ "อึมครึม" สำหรับปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา เกี่ยวกับเรื่องเขตแดน ซึ่งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ฝ่ายไทย จะหารือร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา พรุ่งนี้ (14 มิ.ย.) เพื่อแก้ปัญหาตามแนวทางสันติวิธี

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดการปะทะกันที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 ที่ผ่านมา แม้ปัจจุบันความตึงเครียดระหว่างสองชาติจะคลี่คลายลง
 

แต่ดูเหมือนว่าทางฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะจากผู้นำอย่างนายกฯ "ฮุนมาเนต” และผู้นำทางจิตวิญญาณ “ฮุนเซ็น” จะเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเวทีการเมืองและโซเชียล
 

"ปมร้อน" เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวานนี้ (12 มิ.ย.) สื่อกัมพูชารายงาน ข่าวว่า "ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง" แห่งฝรั่งเศส แสดงท่าทีพร้อมช่วยอำนวยความสะดวก ในการจัดหาหลักฐานให้แก่ทั้งฝ่ายกัมพูชาและไทย หากมีความจำเป็น เพื่อสนับสนุนกระบวนการแก้ไขข้อพิพาท บริเวณชายแดนระหว่างสองประเทศ หลัง "ฮุนมาเนต" เดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติว่าด้วยมหาสมุทร ที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 9–11 มิ.ย. ที่ผ่านมา

 

"พรรคเศรษฐกิจ" ร่ายยาวอดีตบาดแผลเสียดินแดน ขอฝรั่งเศสอย่าก้าวก่าย
 

นายคริส โปตระนันทน์ ประธานพรรคเศรษฐกิจ ได้ทำจดหมายเปิดผนึก นายเอ็มมานูเอล มาครงประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระบุว่า

จากกรณีที่ประธานาธิปดี ฝรั่งเศส ให้คำมั่นกับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ผู้นำกัมพูชา ที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศสว่า “ฝรั่งเศสสามารถช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดหาเอกสารให้ฝ่ายกัมพูชาและไทย เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนได้หากจำเป็น”

ข้าพเจ้า นายคริส โปตระนันทน์ ในนามประธานพรรคเศรษฐกิจ ขอแสดงความเคารพต่อบทบาทสำคัญของฝรั่งเศสบนเวทีโลก และชื่นชมมิตรภาพกับความสัมพันธ์ทางการทูตอันดีระหว่างไทย–ฝรั่งเศสที่มีมายาวนานหลายศตวรรษ ทั้งสองประเทศเริ่มสถาปนาความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อคณะราชทูตฝรั่งเศสเดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2228 และราชทูตไทย (โกษาปาน) ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ณ พระราชวังแวร์ซายส์ ในปี พ.ศ. 2229

ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ความสัมพันธ์ก็ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการลงนามใน สนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์ ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2399 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความผูกพันอันยืนยาวนี้ปรากฏชัดเมื่อปี พ.ศ. 2559 ไทย–ฝรั่งเศสได้ร่วมฉลองวาระครบรอบ 160 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างสมเกียรติ ข้าพเจ้าขอย้ำว่าประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ และชาวไทยมีไมตรีจิตที่ดีต่อฝรั่งเศสเสมอมา

 

อย่างไรก็ดี ในนามตัวแทนประชาชนชาวไทย ข้าพเจ้าขอแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับถ้อยแถลงล่าสุด ที่ท่านประธานาธิบดีได้แสดงความพร้อมที่ฝรั่งเศส จะเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา ด้วยการจัดหาเอกสารหลักฐาน หรือแผนที่ที่จำเป็นให้แก่ทั้งสองฝ่าย “หากสถานการณ์เรียกร้อง” แม้ความตั้งใจดังกล่าวอาจเกิดจากความหวังดี

แต่วิธีการนี้อาจถูกมองว่าเป็นการก้าวก่ายเรื่องอ่อนไหวระหว่างประเทศ ซึ่งข้าพเจ้ากังวลว่า จะส่งผลกระทบทางลบต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชนชาวไทย

ประวัติศาสตร์ได้สอนเราว่า การเข้ามามีบทบาทของชาติมหาอำนาจ ในกรณีพิพาทเขตแดนสามารถทิ้งบาดแผลในใจผู้คนได้ยาวนานเพียงใด คนไทยจำนวนมากยังคงจดจำ วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ได้ดีว่าเป็นเหตุการณ์ที่ประเทศไทย (สยามในขณะนั้น) ต้องสูญเสียทั้งอธิปไตยและดินแดนหลายส่วนให้แก่ฝรั่งเศสในอดีต วิกฤตการณ์ครั้งนั้นยุติลงด้วยการที่รัฐบาลสยาม จำต้องยอมยกดินแดนทั้งหมดทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส อันถือเป็นการเสียดินแดนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย

ฝ่ายฝรั่งเศสยังได้เข้ายึดครองเมืองท่าจันทบุรีของไทยไว้นานถึง 10 ปีหลังวิกฤตการณ์ดังกล่าว บาดแผลแห่งการสูญเสียเอกราชเหนือดินแดนครั้งนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของคนไทยมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ เมื่อชาวไทยได้รับทราบว่า ฝรั่งเศสประสงค์จะเข้ามามีบทบาท ในประเด็นข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาครั้งนี้ จึงเกิดความวิตกกังวลอย่างยิ่งว่า เหตุการณ์ในอดีตอาจซ้ำรอย หรืออย่างน้อยที่สุดก็สร้างบรรยากาศแห่งความไม่ไว้วางใจระหว่างกันขึ้นอีกครั้ง

ในภาวะเช่นนี้ พรรคเศรษฐกิจในฐานะพรรคการเมืองของประชาชน ได้เสนอแนวทางที่ชัดเจนและกล้าหาญต่อวิกฤตการณ์ดังกล่าว โดยเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการใช้อำนาจ เพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือความสัมพันธ์ส่วนบุคคลข้ามชาติ และขอให้คืนอำนาจให้ประชาชนอย่างสมศักดิ์ศรี ผ่านการยุบสภาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปโดยเร็วที่สุด เพราะเรายึดมั่นว่า ประชาชนไทยเท่านั้นที่มีสิทธิ์ตัดสินอนาคตของประเทศนี้ ไม่ใช่เครือข่ายอำนาจใดจากภายนอก

พรรคเศรษฐกิจยังได้เสนอแนวทางด้านความมั่นคงที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการปิดด่านชายแดนชั่วคราว การอายัดทรัพย์สินของชาวกัมพูชาในไทย การเรียกร้องให้ประชาชนไทยหยุดสนับสนุนธุรกิจของต่างชาติที่บ่อนทำลายอธิปไตย ตลอดจนการจัดตั้งกองกำลังอาสาเพื่อให้ประชาชนไทยมีส่วนร่วมในการปกป้องผืนแผ่นดิน พรรคเศรษฐกิจยืนยันว่าแนวทางเหล่านี้มิใช่ความสุดโต่ง แต่คือ “มาตรฐานใหม่ของการปกป้องชาติ” ที่ชาติใดในโลกซึ่งมีศักดิ์ศรีก็ควรยึดถือ

อนึ่ง ฝรั่งเศสในฐานะประเทศมหาอำนาจที่มีสถานะเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นหนึ่งในห้าชาติที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการตามสนธิสัญญา NPT ย่อมตระหนักถึงความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงในการดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยความระมัดระวัง ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่าด้วยเกียรติภูมิดังกล่าว ฝรั่งเศสจะเคารพความเป็นอิสระของประเทศคู่กรณี และหลีกเลี่ยงมิให้การกระทำใดๆ ถูกมองว่าเป็นการก้าวล่วงหรือบั่นทอนมิตรภาพอันดีที่สองประเทศของเราสั่งสมมาแต่อดีต

ขอย้ำว่าพรรคเศรษฐกิจของข้าพเจ้ามีจุดยืนแน่วแน่ว่าจะไม่ยินยอมให้ประเทศไทยต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของประเทศใด โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ เอกราชและอธิปไตยของชาติไทย เราเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีศักยภาพและสิทธิอันชอบธรรมที่จะจัดการแก้ไขปัญหากับเพื่อนบ้านด้วยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่เอง โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การชี้นำของมหาอำนาจภายนอก
 

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอเรียกร้องให้รัฐบาลฝรั่งเศส พิจารณาทบทวนบทบาทในการเข้ามาเกี่ยวข้องในกรณีพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาครั้งนี้อีกครั้ง เพื่อแสดงความเข้าใจต่อความละเอียดอ่อนทางประวัติศาสตร์และความรู้สึกของประชาชนไทย ปัจจุบันไทยและกัมพูชามีกลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) สำหรับเจรจาปักปันเขตแดนที่ยังตกลงกันไม่ได้อยู่แล้ว การสนับสนุนจากต่างชาติใดๆ จึงควรจำกัดเฉพาะกรณีที่ทั้งสองฝ่ายร้องขอและยินยอมร่วมกันเท่านั้น
 

ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าประเทศไทยปรารถนาจะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับฝรั่งเศสสืบไป ภายใต้พื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกันในอธิปไตยและเอกราชของกันและกัน เชื่อมั่นว่าด้วยความเข้าใจและไมตรีจิตระหว่างกัน เราจะสามารถป้องกันมิให้เรื่องนี้บั่นทอนสัมพันธไมตรีไทย–ฝรั่งเศส และยังคงจับมือเป็นมิตรประเทศที่เคารพในเกียรติซึ่งกันและกันตลอดไป

 

เช่นเดียวกับ "พรรคทางเลือกใหม่" ที่ได้ออกแถลงการณ์ว่า
 

การหารือกับระหว่าง ท่านประธานาธิบดีมาครง กับ นายกรัฐบนตรีฮุนมาเนต ได้ยืนยันจุดยืน 4 ข้อของกัมพา ในการแก้ไขปัญหาชายแดนกับไทย ซึ่งประกอบด้วย

1.กัมพูชายึดมั่นที่จะรักษาสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมืออันดีกับประเทศไทย

2.การตัดสินใจนำประเด็นพื้นที่พิพาท ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่บอมเบย สู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศนั้น มีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างสันติ แทนที่จะปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อ นำไปสู่ความขัดแย้งด้วยอาวุธอีกครั้ง

3.กัมพูชาจะร่วมมือกับไทย เพื่อส่งเสริมการสำรวจและปักปันเขตแดน ในส่วนที่ยังค้างคา นอกเหนือจากการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) 

4.กัมพูชาจะใช้กลไภทวิภาคีที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อสานต่อความสัมพันธ์อันดีกับไทย เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน

พรรคทางเลือกใหม่ ในฐานะตัวแทนประชาชนคนไทย จึงเรียนแจ้งมามายังประเทศฝรั่งเศสว่า การหยิบยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นหารือกับท่านประธานาธิบดีมาครง มีวัตถุประสงค์ไม่ตรงต่อการปฏิบัติโดยเจตนาอันสุจริตตามกลไกคณะกรรมมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ตามที่อ้างถึง กัมพูชาในฐานะผู้รุกรานอธิปไตยของประเทศไทย ไม่ยึดมั่นที่จะรักษาสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมืออันดีกับประเทศไทย การขยายข้อพิพาท การรุกรานและการละเมิดอธิปไตยในดินแดนของไทยปราสาทตาเมือนรม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มอมเบย จึงเป็นการละเมิดข้อตกลงกลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) รวมทั้งกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ทั้งหมด และเป็นการอ้างข้อมูลอันเป็นเท็จอย่างไม่มีความเชื่อถือ

การกระทำของประเทศกัมพูชาในครั้งนี้เป็นเพียงเพื่อหาแนวร่วมจากประเทศฝรั่งเศสที่เคยเป็นผู้ครอบครองประเทศกัมพูชาตามประวัติศาสตร์ในอดีต แม้ว่าประเทศฝรั่งเศสพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการจัดหาเอกสารที่จำเป็นให้แก่ทั้งสองฝ่ายก็ตาม

จึงขอให้ประเทศฝรั่งเศสวางตัวอย่างเป็นกลาง และผดุงไว้ซึ่งสันติภาพของประชาคมโลก

ราเชน ตระกูลเวียง

หัวหน้าพรรคทางเลือกใหม่

13 มิ.ย. 2568