นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมกับฟังบรรยายสรุป จากเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกในการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 ที่โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล เขตปทุมวัน พร้อมกล่าวปิดการประชุมว่า ขณะนี้ ทั่วโลกทุกประเทศ มีความท้าทายทั้งเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งไทยจะต้องปรับตัว และเน้นการทูตเชิงรุกมากขึ้น และทีมไทยแลนด์ จะต้องไขว่ขว้าโอกาสให้ประเทศ เพื่อดึงดูดการลงทุน และทูตแต่ละประเทศ ถือเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งตนเองอยากให้ทูตพิจารณาจากประเทศต่าง ๆ ที่ไปประจำการว่า สามารถประยุกต์กับประเทศใดได้บ้าง ทั้งการลงทุน หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น ในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาตึก สตง.ถล่มจากผลกระทบแผ่นดินไหวประเทศต่าง ๆ ก็นำเทคโนโลยีมาสนับสนุน รวมถึงกองทัพยุทโธปกรณ์ ที่จะต้องคำนึงถึงความจำเป็น โดยพิจารณาจากความพร้อม หรือแม้แต่การหาคอนเนคชั่นที่ดี เพื่อไขว่คว้าเทคโนโลยีใหม่ ๆ และมาวางแผนให้ประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งการนำอุตสาหกรรมอนาคต AI เซมิคอนดักเตอร์ หรือการลงทุนใหม่ ๆ การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน อย่างแลนด์บริจด์ ที่ต่างประเทศให้คนสนใจจะเข้ามาลงทุนโครงการใหญ่ ๆ ของไทย จึงขอให้สถานทูตต่าง ๆ ได้ประสานงานให้ข้อมูลกับประเทศที่มีความสนใจต่อโครงการต่าง ๆ ให้ครบถ้วน พร้อมยังเน้นย้ำให้เกิด FTA กับประเทศ หรือกลุ่มประเทศให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว โดยเฉพาะ FTA ไทย-ยุโรป ซึ่งตนมีกำหนดเดินทางเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนนี้ ตนก็จะไปเน้นย้ำอีกครั้ง เพราะเอกชนก็พร้อมการลงทุน และรัฐบาลก็พร้อมสนับสนุน
นายกรัฐมนตรี ยังขอให้ทูตช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้าง และระเบียบโลก ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น การท่องเที่ยวของชาวจีนที่มาท่องเที่ยวประเทศไทยลดน้อยลง เพราะจีนสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ รวมถึงยังมีปัญหาความไม่สบายใจถึงความปลอดภัย รัฐบาลก็ได้เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อรับรองความปลอดภัย รวมถึงยังขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการปราบปรามข่าวปลอม จึงจะต้องตอบโต้ด้วยการชี้แจงข้อเท็จจริง หรือข้อมูลที่ถูกต้องตามช่องทางทางการของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้อง และไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงการสื่อสารทุกระดับความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นระดับทูต รัฐมนตรี หรือผู้นำ จะต้องประสานให้มาก เพื่อให้เข้าถึงประชาชนได้ครบทุกกลุ่ม ไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด
นายกรัฐมนตรี ยังระบุถึงอาหารไทย ที่ได้รับความสนใจจากต่างชาติ และมั่นใจว่า มีความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารแน่นอน ในการสนับสนุนอาหารได้ตลอดทั้งปี จึงขอให้ทูตโปรโมท ความเข้มแข็งด้านความมั่นคงทางอาหารให้กับโลกได้ รวมถึงด้านการแพทย์ ที่ต่างชาติต้องการมาใช้ชีวิตในระยะยาว หรือชีวิตหลังเกษียณที่ไทย เพราะคุณสมบัติเฉพาะตัวของประเทศไทย และคนไทย ดังนั้น ด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ หากประเทศใด มีจุดแข็งสามารถนำมาสนับสนุนการแพทย์ประเทศไทยได้ หรือนำสถานที่ท่องเที่ยวเมืองรอง ไปแนะนำให้ต่างชาติได้รู้จัก และเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ รวมทั้งปัจจุบัน รัฐบาลดำลังเนินโครงการ 6 Countries: 1 Destination มา 1 จุดหมาย แต่สามารถเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ไทยได้
นายรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำบทบาทของประเทศไทย ก็จะเน้นการเป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพ และความมั่นคงร่วมกัน โดยจะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ และมุมมองด้านการต่างประเทศ สร้างความเจริญเติบโตให้ประเทศ พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยมีจุดยืนที่ยึดมั่นสันติภาพ การเจรจาต่าง ๆ จะเน้นกรอบทวิภาคี และเน้นย้ำสันติภาพว่า ความรุนแรงคือสิ่งสุดท้ายที่จะเลือก และไม่ว่าจะอยู่ที่ใด จะต้องมีกำลังเพียงพอ ที่จะปกป้องพลเมืองของไทย โดยไทยจะไม่หาเรื่อง แต่พร้อมสร้างความเข้าใจ และพัฒนาไปกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ เพราะถ้ามีการรวมกัน ก็จะเติบโตกันไปด้วยกันอย่างแข็งแรง
นายกรัฐมนตรี ยังของให้เอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ไทย เน้นย้ำท่าที และจุดยืนของประเทศไทยต่อนานาประเทศ ทั้งขั้นตอนการดำเนินการของประเทศไทยต่อมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา, สกานการณ์ทางการเมืองในเมียนมา เพื่อให้นานาประเทศเข้าใจเหตุผล และความจำเป็นต่อการดำเนินนโยบายของทย และอาเซียน ที่พร้อมเป็นตัวช่วยพร้อมให้เกิดความสงบสุขในเมียนมา รวมถึงกรณีข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้นานาประเทศรับทราบ และเข้าใจมาตรการต่าง ๆ รวมถึงเหตุผลการยึดมั่นกลไกแบบทวิภาคี รวมถึงการให้ความช่วยเหลือต่อกัมพูชามาโดยตลอด และไทยไม่ได้ต้องการให้เกิดความรุนแรง ซึ่งไทยจะไม่เน้นความรุนแรง แม้จะมีการปลุกปั่น เพราะบุคลากรหน้างาน จะต้องแบกรับความเสี่ยงต่อความรุนแรง ดังนั้น ในประเทศจะต้องสามัคคี และย้ำจุดยืนแก้ปัญหาอย่างสันติ พร้อมพูดคุยด้วยเหตุผล เช่น ในวันพรุ่งนี้ (14 มิ.ย.) จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ก็หวังว่า จะเกิดความเข้าใจ 2 ประเทศมากขึ้น